วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Diary : 27 May 14

เราต้องทำ Trading Journal ดังนี้
1. GJ จากกำไร 100$ กลับมาขาดทุน 140$
2. ทอง เราไม่ควรเปิดตามใจตัวเอง 2 ไม้ สุดท้ายก็ขาดทุน ให้เราทำตามแผนดีกว่า
3. เวลาเราวางแผนทองเอาไว้แล้ว เมื่อเวลาผ่านไป เราก็ต้องมาอัพเดทไม้ที่เราตั้งไว้ด้วย

วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Skype : 23 May 14

Skype Training : 23 May 14

เราจะขยับเทรน ตอนที่ราคามัน Overlap TL นั้น
เวลาเราจะเลือกมองเทรนไหน ให้ดูว่า ราคาอยู่ใกล้เทรนไหน ให้ยึดเทรนนั้น  เพราะมันคือ เทรนปัจจุบัน
เวลาเบรค TL ถือเป็น Reversal Pattern อย่างหนึ่ง เราควรมองง่ายๆ ถ้าเบรคก็คือเปลี่ยนเทรน แค่นั้น
Break TL = สัญญาณเตือนอย่างหนึ่งว่า ราคาจะไม่ลงไปยัง Channel ที่เราตั้งรับไว้ เพราะมันติดแนวรับก่อนหน้าและเบรค TL ไปแล้ว พอราคา Break TL แล้ว เราจึงสามารถย้ายจุดตี Channel ได้ ทำให้เราได้เป้าหมายหรือกรอบที่ปัจจุบันและแม่นยำมากขึ้น ตัวอย่างคือ ทองในอดีตก่อนทิ้งลงมาแรง
เมื่อราคาเกิด OB จาก Trend หลัก ให้เราตี Channel ใน TF เล็กลงไป เพื่อหาการเบรคหลุด Trend ลงมา จึงวางแผน Sell เพื่อได้จังหวะการทิ้งลงมาเร็วเพราะเป็น OB
การสร้างระบบ ให้สร้างระบบที่มีความแม่นยำ 70%
สามเหลี่ยม เวลาหลุด จะวิ่งแรงๆ
เราควรเล่นช่วงราคาสวิงแรงๆ เช่น ช่วงข่าวออก
คนเทรดสั้น ต้องเป็นคนละเอียด ต้องนำความรู้ทั้งหมด มาใช้ใน M15, M5

วิธีแก้ปัญหาการเทรดของเรา
การตั้ง Zone Order ถ้าเราได้ของไม่ครบทุกไม้ แล้วราคาวิ่งขึ้นไปแล้ว ให้เราคำนวณต้นทุนใหม่ และหาจุ TP ที่ทำให้เราได้ RR >= 2 เป็นจุด Exit เพื่อให้เราสามารถทำกำไรให้ได้ RR จริง
ระบบของเราคือ ซื้อขายตามกรอบ Channel แต่ถ้าราคาเบรค ก็ให้มองหากรอบใหม่ไปเรื่อยๆ
เวลาเบรคกรอบหรือแนวต้านขึ้นมาแล้ว ลงมา Test แนวต้านที่กลายเป็นแนวรับนั้น ถ้ามันจะวิ่งขึ้นไป มันจะต้องไม่หลุดกลับมาต่ำกว่าแนวต้านนั้น ดังนั้นให้เราตั้ง SL ใต้แนวต้านนั้น 2-3$ ได้เลย นี่คือระบบของเรา แค่ใช้แนวต้านเป็นกรอบ
ทำตามระบบให้ได้ทุกไม้ ส่วนเรื่องกำไรขาดทุนให้เป็นไปตามหลักสถิติแทน

แผนการเทรดของเรา
1. เทรด Forex เป็นหลัก
2. ดึงกำไร 30% ออกมาทุกเดือน เพื่อไปซื้อหุ้นถือระยะยาว



วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

MM & RR

Money management ผมขอเรียกย่อๆว่า MM นะครับ
Risk reward ratio ผมขอเรียกย่อๆว่า R/W นะครับ
ในการคำนวณ จำเป็นต้องใช้ ข้อมูลราคา 3 ราคา ซึ่งใช้ กราฟเทคนิคอล ในการหาราคาทั้ง 3 ออกมา
 Entry
Target
Stop
RR ratio = Rewards / Risk
RR Ratio ที่เหมาะสม ควรจะมากกว่า 3:1
ซึ่งก็หมายความว่า เทรด 4 ครั้ง เสีย 3 ครั้ง ถูกทาง 1 ครั้ง ก็จะเสมอตัว


อันนี้เรียกว่า mm
เเม้เเต่นักพนันมืออาชีพ ที่สร้างความสำเร็จอย่างต่อเนื่องก็ล้วนใช้กลยุทธ์ในการบริหารหน้าตักทั้งสิ้น
ถ้าหากเรามีเงินลงทุนอยู่ 100 บาท เราทำการเทรดทั้งหมด 10 ครั้ง
กำไร 8 ครั้ง ๆละ 5บาท = เรากำไรทั้งหมด 40 บาท
ขาดทุน 2 ครั้งๆ ละ 20 บาท = เราขาดทุน 40 บาท
สุทธิเราจะมีกำไรจากการเทรด 10 ครั้งอยู่ที่ 0 บาท

ถ้าหากเรามีเงินลงทุนอยู่ 100 บาท เราทำการเทรดทั้งหมด 10 ครั้ง
กำไร 7 ครั้ง ๆละ 10 บาท = เรากำไรทั้งหมด 70 บาท
ขาดทุน 3 ครั้งๆ ละ 10บาท = เราขาดทุน 30 บาท
สุทธิเราจะมีกำไรจากการเทรด 10 ครั้งอยู่ที่ 40 บาท

Win / loss Ratio คือ ในการเทรด 100 ครั้ง เราชนะกี่ครั้ง
Reward / Risk คือในการเทรดเเต่ละครั้ง เราต้องการจะได้รับผลตอบเเทนเท่าไหร่หากการเทรดครั้งนั้นประสบความสำเร็จ
เมื่อหมัดเข้าเป้า (Reward) กำไร
เมื่อหมัดไม่เข้าเป้า เราโดนสวนกลับ (Risk) ขาดทุน
การที่เราคาดหวังผลกำไรมากๆ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเเม่นยำมาก --> เขาทราย กาเเล็กซี่ ไม่จำเป็นต้องต่อยมาก เเต่พอต่อยโดน คู่ต่อสู่ก็ออกอาการทันที เหมือนเทรดเดอร์ที่ไม่จำเป็นที่ต้องมีความเเม่นยำในการเทรดสูงมากนัก เเต่เมื่อเทรดได้กำไร.....ก็เอากำไรครั้งละมากๆ เปรียบเสมือน Let profit Run คือเมื่อได้กำไร ก็ปล่อยให้กำไรวิ่งไปเรื่อยๆ
ไม่ว่าเราจะเป็นเทรดเดอร์เเบบใดก็ตาม เราก็สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ เเต่เราต้องเข้าใจลักษณะ ระบบการเทรดของเรา เเละเรื่อง Reward / Risk ให้ดี เพราะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจ ว่าสถานการณ์ใดที่เราควรเข้าเทรด หรือควรหลีกเลี่ยง

การบริหารเงินลงทุนใน Portfolio
คุณคือนักเก็งกำไร หรือ นักการพนัน ??? --> RR จะเป็นตัวบอกครับ
MM คือการทำให้ RR เทรดได้เยอะกว่า 10 ครั้ง --> มากกว่าพันครั้ง มากกว่าหมื่นครั้ง อยู่ที่ระดับการนอนหลับ หากนอนไม่หลับแสดงว่า MM ไม่ดี Over Trade
ภาพใหญ่มาภาพเล็ก timeframe ใหญ่ไปหา timeframe เล็ก
ดูแนวรับแนวต้านจุดสำคัญๆ ที่ราคาเคยพักตัว
การเทรด Forex "คนเก่งจริงไม่ใช่คนที่เทรดได้กำไรสูงสุด แต่เป็นคนที่อยู่รอดในตลาด forex ได้นานที่สุด

ดูก่อนนอนคับ แล้วจะรู้ว่า "ถ้าไม่รู้ TA ยังกำไร"
http://www.youtube.com/watch?v=2lD-gd9hk3I

ถ้าเราสามารถสร้างระบบเทรด Forex ง่ายๆ ที่ได้กำไรง่ายๆ แต่สม่ำเสมอ โดยมีผลทางสถิติรองรับ และเราตั้งใจเทรดในแนวทางของตัวเอง ยึดมั่นในหลักการเดิมไม่แปรเปลี่ยน รับรองว่า จะสามารถทำกำไรในตลาด Forex อย่างยั่งยืนแน่นอนครับ

ตัวอย่าง RR = 3:1
กำไร 3,000 ขาดทุน 1,000 หากเราใช้ 1:1 เราก็จะไม่ได้อะไรเลย
นี่คือเหตุผลว่า ทำไมคน 95% ถึงแพ้ เพราะไม่รู้ว่าควรลงทุนจุดไหนให้คุ้มกับ RR
การขายหมูก็ทำให้ RR พังโดยไม่รู้ตัวครับ

Port Cent เทรดได้สนุก เพราะเรายอมรับได้ เงิน $ ก็ไม่ต่างกัน ถ้ายอมรับไม่ได้ ก็ไม่ควรใส่ลงไป

Diary : 20 May 14







เรียงลำดับความสำคัญของ TA

เรียงลำดับความสำคัญของ TA

1. Trend : ให้รู้วันนี้จะเล่นราคาไหน ต้านรับอยู่ตรงไหน
2. Price Pattern : สามเหลี่ยม Wedge Double Top/Bottom
3. Price Action : สัญญาณแท่งเทียน ที่แนวรับแนวต้าน
4. Elloitt Wave
5. Indicator

ถ้าดู Indi เอสปุ๊บมันเด้ง แอลปุ๊บมันร่วง เพราะมันช้ากว่าสมองคนเยอะ จึงเลือกมอง Trend ก่อน เพราะชอบวางแผนมากกว่า ถ้า Day Trade ก็ว่าไปอย่าง ต้องเร็ว

ถ้ามอง Trend ออก แล้วอยากรู้ว่า Trend จะอยู่ไหม ให้มองล่าง
มองบนก่อน คือ กราฟเปล่า
มองล่าง คือ Indi ช่วยตัดสินตอนโดน Trend หรือแนวรับเท่านั้น เช่น โดนแนวรับ แล้วเกิด Over Sold หรือ Bullish Divergence

อย่ากลัวกราฟ ให้กราฟกลัวเรา
ใจสำคัญที่สุด เมื่อเราอ่านกราฟเป็นแล้ว "จงอ่าน อย่ากลัวที่จะอ่าน"
อย่าเดากราฟ ให้อ่านกราฟ อย่าสงสัยตัวเอง
มีดอ่ะ ยิ่งลับยิ่งคม คิดถึงเมื่อก่อนจิ Trend ยังไม่รู้จัด ไดเวอร์ยังมั่ว 555+ ตอนนี้ดีกว่าเดิมเยอะ

อ่านกราฟเสร็จ ขั้นต่อไปคือ
1. วาง RR : ดูความคุ้มเสี่ยง ว่าน่าลงทุนไหม ถ้าไม่ดีให้อยู่เฉยๆ รอ
2. จากนั้นก็ MM : เสี่ยงกี่ % แล้วก็ไปเที่ยว




วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ทำบุญครั้งที่ 2

ตลาด Forex
เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด
เปิด 24 ชม
Commission Free
เล่นได้ทั้งขึ้นและลง

ถ้าเรา "กลัว" กับ "ความมั่นใจเกินเหตุ" ทำให้เรา "ขาดทุนแน่นอน"

ค่าเงิน AUDJPY การมองค่าเงินอ่อนแข็ง ให้ยึดตัวหน้าเป็นหลัก
- ถ้า กราฟขึ้น --> ค่าเงินตัวหน้าแข็ง
- ถ้า กราฟลง --> ค่าเงินตัวหน้าอ่อน

การเรียน TA คือ การเรียนรู้เพื่อให้เสี่ยง แต่เสียน้อยที่สุด

Dow's Theory
ขึ้น
ลง
ออกข้าง (พักตัว)

ทางเลือกของเทรดเดอร์ทั่วไป
1. คิดใหม่ เช่น คิด Indi ค่าใหม่ๆ
2. ทำตามคนที่สำเร็จ --> เราเลือกข้อนี้
การจะเป็นนักวิ่งที่ดีได้ เราต้องไปหาแชมป์ คนที่วิ่งเก่ง นี่เป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการจะประสบความสำเร็จ

Dow มี 6 ข้อ
1. Market Discount Everything ราคาเป็นบทสรุปของทุกอย่าง ไม่เอาพื้นฐานมาประเมินด้วย เพราะจะทำให้เราสับสน
2. ตลาดมี 3 Trend : Uptrend, Downtrend, Sideway
การขึ้นลงจะมี 3 ช่วง : Primary, Secondary, Minor Trend เราต้องอ่านให้ออกว่าเราเล่น Trend สั้นหรือยาว
สิ่งสำคัญเป็นอันดับต้นๆ คือ เราต้องอ่าน Trend ให้ได้ก่อน จากนั้นค่อยนำ Indi เข้ามาใช้
หลักของ Indi มี 4 อย่าง คือ Bull Div, Bear Div, OB, OS
3. ตลาดมี 3 ช่วง
3.1 ช่วงสะสมหุ้น (Accumulation)
3.2 ช่วงที่นักลงทุนทั่วไปเข้ามา (Public Participation)
3.3 ช่วงที่แมงเม่าเริ่มเข้ามา (Distribution) --> ถ้าแม่ค้ารู้ว่าทองขึ้น แสดงว่าอยู่ในช่วงนี้แล้ว
6. เมื่อราคาขึ้น ก็จะขึ้นต่อ จนกว่าจะมีสัญญาณกลับตัวชัดเจน
History Repeat Itself มันจะต้องเกิดซ้ำๆ

การซื้อธุรกิจ คือ การซื้อระบบ เช่น 7-11 การเทรด TA ก็ต้องมีระบบที่ชัดเจน ไม่เปลี่ยนม้ากลางศึก
ระบบที่ดีจะประกอบไปด้วย 3 อย่าง
1. Entry
2. SL
3. Exit (TP)

Primary Trend --> Trend ที่ขึ้นยาวเป็นปี จึงจะหมด Trend
Secondary Trend --> การปรับฐานมักใช้เวลา 2 สัปดาห์ - 3 เดือน

การตี TL จะต้องให้เกิดเป็นภูเขาก่อน จึงจะตีได้ ไม่งั้นเราจะมีโอกาสตีผิด
1 TF คือ 1 Trend
จุดกลับตัวของ Dow's Theory คือ หลุดแนวโน้ม
Rebound คือ การเด้งในขาลง
แนวรับ = พื้นโต๊ะกับลูกปิงปอง
เราใช้ข้อมูลจากอดีต มาสร้างสถิติที่จะเข้าซื้อ
คลื่นที่มีการ Over คือ คลื่น 3 --> นี่คือ สัญญาณเตือนว่าจะลงเร็ว
คนเล่น TA จะเป็นคนที่สวนสัญชาตญาณมนุษย์
การ Pullback เป็นสัญญาณอีกอย่างหนึ่งในการบอกว่ามันจะไปต่อ
การตั้ง SL อีกแบบคือ ตั้งใต้แนวโน้ม เพื่อจำกัดขาดทุนน้อยกว่า HL ล่าสุด
TL ใหญ่มีผลมากกว่า TF เล็ก
การหลุด TL เส้นหนึ่ง มันจะวิ่งมาหา TL รับอีกเส้นหนึ่ง
เราจะรู้ว่าเราตี TL ผิด ก็คือ ราคาหลุดมาแล้ววิ่งกลับเข้าไปในแนวโน้มเดิม
ฺBear Trap คือ ราคาจะทำ New High ดังนั้นถ้าราคาวิ่งกลับไปใน Trend ให้หนีก่อน
ราคาไม่ลงมาที่ Trend รับ ก็เป็นลักษณะของ Wave 3 เหมือนกัน คือ อยากขึ้นแล้ว
ใช้แนวต้านที่เกิดขึ้นใหม่
การเข้าที่เบรค ให้เข้าที่เบรคแท่งแรกเลย และตั้ง Sถ้L ที่ใต้ TL

ถ้าราคาลงมาไม่ถึง Channel บางทีอาจจะไปหยุดตรงเส้นกลาง Trend ก็ได้

RR เป็นสิ่งสำคัญในการเทรดระยะยาว จะต้อง > 1 เสมอ ไม่อย่างนั้นจะทำให้เราขาดทุน เช่น
RR=1 & เทรด 10 ครั้ง ผิด 7 ถูก 3 => -7 + 3 = -4
RR=3 & เทรด 10 ครั้ง ผิด 7 ถูก 3 => -7 + 9 = +2
การเลือกจุด SL ที่ดีสำหรับทำให้ RR สูงขึ้น คือ เลือก Low ที่ Breakout ขึ้นไป ซึ่งเราอาจจะต้องเข้าไปดูใน TF ที่เล็กลง

Price Pattern เมื่อเกิด Pattern ราคามักจะวิ่งเร็ว Pattern ที่ใช้บ่อยๆ มีดังนี้
1. Wedge => เป็น Reversal Pattern ราคาลงแรงและเร็ว ขา 1 มักจะยาว
2. Flag => เป็น Continuation Pattern
3. Triangle => เป็นทั้ง Continuation & Reversal Pattern

สิ่งที่เกิดขึ้นในกราฟ เรียงลำดับก่อนหลัง
1. Trend
2. Price Pattern
3. Price Signal ใช้ต่อเมื่อเกิดที่แนวรับแนวต้านของ Trend เท่านั้น
4. Elloitt Wave

Elloitt Wave
Wave 2 คือ ราคาจะไม่ทำ New Low
Mr.Elloitt Wave ใช้ Fibo ในการวัดความยาวของแต่ละคลื่น ดังนั้น Fibo ไม่ได้เอาไว้วัดแนวรับแนวต้านที่แข็ง
Fibo Retracement เอาไว้หาแนวรับแนวต้าน และหา Wave 2
สิ่งที่เกิดก่อน Fibo คือ แนวรับแนวต้าน ดังนั้น การหาคลื่น 2 ว่าลงกี่ % ก็คือการหาแนวรับในอดีตนี่เอง
Fibo Expansion คลื่น 3 มักจะยาว 161.8% ถ้า Wave 3 ไปไม่ถึง 161.8% มันอาจจะเป็น Wave ประหลาด

Trend จะมี 2 รูปแบบ
1. Impulse
2. Corrective

ปัจจุบันทองมองเด้ง B และลง C ซึ่งเราอาจจะวางแผน S-Zone ไว้ 3 ไม้ ตัดขาดทุนที่ 1363 และมองเป้าที่ 1210 ได้ RR > 2 เวลาออกก็ทะยอยออกระหว่างทางเป็น % ของจำนวนที่เราเข้า ถ้าเข้า 3 ไม้ เราก็ทะยอยออกทีละ 30% (1 ไม้) ตามแนวรับแนวต้านสำคัญ

ดู VDO จิตวิทยาการลงทุน
กฎของการเป็นนักเก็งกำไรชั้นยอดคือ "Let Profit Run"
คนทั่วไป มักจะ เก็บกำไรไว้ก่อน แต่เวลาขาดทุนกลับถือต่อ
แต่นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จคือ ยอมเสี่ยงที่จะ Let Profit Run แต่เวลาขาดทุน เน้นความแน่นอนและยอมรับกับจุดที่ขาดทุนตรงนั้นได้ เพราะถ้าเรามองถึงการเทรดครั้งต่อไป เราอาจจะขาดทุนในไม้ต่อไปด้วยก็ได้ ดังนั้น หากเราตัดขาดทุนและ Let Profit Run ได้สม่ำเสมอ ก็จะทำให้เราเป็นนักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จในระยะยาวได้

การดูจุดกลับตัว ให้รอจนกระทั่งเกิดราคา Peak คือ Big Candle ก็จะตีได้แล้ว แต่ถ้าเอาชัวร์คือ รอเบรค Trend ใน TF เล็ก ก็ได้
การดูว่าท่อนนั้นเป็น Impulse หรือ Corrective ให้ย้อนไปดู TF ใหญ่ เพราะลูกก็ต้องเหมือนกับแม่ เช่น ทองใน Day เราอยากรู้ว่าเป็นแบบไหน ก็ไปดู Week ซึ่ง Week ปัจจุบันเป็น Sideway ก็คือ Corrective นั่นเอง

Indicator
1. Bollinger Band
2. MACD
TA แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
1. ใช้ Indicator หรือ System Trade ต้องตัดอารมณ์ออก และเทรดตาม Signal ของระบบ ต้องนั่งเฝ้า
2. ใช้แผน เทรดระยะยาว ไม่ต้องนั่งเฝ้า
Indi ถ้าใส่แล้วเทรดดีขึ้น ก็ให้ใส่ แต่ถ้าไม่ดีขึ้น ก็ไม่ต้องใส่
ดูบนก่อน ค่อยดูล่าง => ดู Price ก่อน ค่อยดู Indi
ไม่มี Technical ไหน 100% ทุกเทคนิคก็จะมีข้อผิดพลาดของมันอยู่
Indi เอาไว้ดูสุดท้าย

คนเรายอมรับการขาดทุนไม่ได้ แต่เราต้องยอมรับการขาดทุนให้ได้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น นั่นคือ "การวางแผน"

วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Diary : 16 May 14

หากเราบอกกับตัวเองอย่างตั้งใจว่าเราอยากได้อะไร จิตใต้สำนึกก็จะทำงานให้เราได้อย่างนั้น เช่น การนอนดึกตื่นเช้านี้ เรานอนตี 2.45 แต่เราอยากตื่น 6.30 เราก้อบอกกับตัวเองอย่างแน่วแน่ เราก็ตื่นได้จริงๆ ดังนั้นหากเราอยากได้อะไร ก็ให้บอกกับตัวเองอย่างตั้งใจ


ข้อคิดที่ได้เรียนรู้จากการเทรดในสัปดาห์นี้ (12-15 May 14)

ข้อคิดที่ได้เรียนรู้จากการเทรดในสัปดาห์นี้ (12-15 May 14)

1. กำไรขาดทุนที่เป็น Open Orders ไม่มีความหมายอะไรกับเราเลย หากเรายังไม่ปิดมัน ดังนั้นจากกำไรก็กลายเป็นขาดทุน หรือขาดทุนก็กลายเป็นกำไรได้
2. เวลาที่ราคาเป็น Trend มันจะต้องมี ขึ้น --> ลง --> ขึ้น อย่างน้อย 3 ขา ซึ่งถ้าเราต้องการเล่นยาว เราจะต้องถือจังหวะที่มันเหวี่ยงลงมา ก่อนขึ้นไปอีกรอบให้ได้ โดยการดูการย่อ 38.2% ของทั้งชุดที่ขึ้นครั้งแรก (มันเบรคเทรนขึ้นลงมาใน TF เล็กไปแล้ว) หากเป็นแบบนี้ ให้เรา Buy เพิ่มและย้าย Trailing Stop มาที่จุด HL นี้ -10 pips
3. การจะได้กำไรจากตลาดนี้ มันไม่ง่าย เราจะต้องอดทนกับการแกว่งตัวของราคา จนกว่ามันจะไปถึงเป้าหมายตามแผนที่วางไว้ ดังนั้น "การยึดมั่นทำตามแผน" คือคำตอบสุดท้ายของการเทรดให้ได้กำไรในระยะยาว ไม่ต้องสนใจการแกว่งตัวของราคาเลย มันอาจจะทำให้เรา "รู้สึก" ขาดทุนไปบ้าง แต่สุดท้าย มันอาจจะกลับมากำไรมากกว่าเดิมก็ได้ ตลาดไม่มีอะไรแน่นอน
4. "เวลา" เป็นสิ่งที่เราไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไร เช่น เรามองว่าเป็น Wedge เราคาดการณ์แล้วว่ามันจะต้องเป็น Wedge แน่ๆ แต่เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามันจะเกิด Wedge เมื่อไร
5. วิธีการเข้า Order ของเรา
5.1) ตั้ง Zone รับ
5.2) ถ้าราคาหลุด TL แล้ว Pullback มา Test ไม่สามารถกลับมาอยู่ใน TL ได้
5.3) มี Price Action เกิดขึ้น ณ แนวต้านแนวรับนั้นๆ
ุุ6. ตลาดทุนนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เราอาจจะขาดทุนก็ได้ หรือกำไรมากก็ได้ ขึ้นอยู่กับตลาดเลย สิ่งสำคัญของเราคือ การบริหารพอร์ตและจำกัดความเสี่ยง เพื่อทำให้พอร์ตของเราโตขึ้นไปเรื่อยๆ มีขาดทุนได้บ้าง แต่กำไรต้องกลับมาชดเชยและมากกว่า เพื่อทำให้พอร์ตเติบโต
7. "จิตใจ" เป็นสิ่งที่สำคัญในการเทรด 60% ดังนั้น เราต้องฝึกเรื่อง "จิต" ให้มากๆ
8. เราทุกคนไม่ว่าจะพอร์ตใหญ่หรือเล็ก เราก็มีเงิน 100% เท่ากันหมด ดังนั้น มันขึ้นอยู่กับเราแล้วว่า เราจะบริหารความเสี่ยงกับพอร์ตของเราอย่างไร เช่น เราจำกัดขาดทุน 2-3% ต่อครั้ง หรือ 10% ต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับเราจะ manage
9. เมื่อเรามีแผนที่ชัดเจน มีจุดเข้า จุดออก SL TP และทำใจยอมรับการขาดทุนไม้นั้นได้ว่าขาดทุน 2-3% Port แต่ได้ RR >= 2 เท่า มันจะทำให้จิตใจเรานิ่งขึ้น พร้อมที่จะทำตามแผนมากขึ้น ไม่ปิดออเดอร์ไปก่อนที่จะถึงเป้า เพราะโลภ หรือ กลัว เมื่อเราทำตามแผนได้แล้ว เราก็จะอยู่ได้ในระยะยาว เพราะคนเราคงไม่ขาดทุนติดๆ กัน 10 ไม้หรอก
10. เมื่อพอร์ตเราโตขึ้น การเทรดไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่เราแค่เปลี่ยนแปลง MM ที่ใส่เข้าไปในแต่ละการเทรดนิดหน่อยเท่านั้น มันก็จะทำให้พอร์ตของเราเติบโตได้เร็วขึ้นแล้ว
11. การเทรด TF ใหญ่ TF เล็ก ไม่ได้ต่างกันเลย แค่เรา Zoom เข้าไปดูรายละเอียดของแต่ละ TF เราก็จะเห็นพฤติกรรมราคาแบบเดิมๆ แค่ว่ามองเล็กหรือใหญ่เท่านั้น
12. สิ่งสำคัญอีกข้อหนึ่งคือ "เราจะต้องทำตามระบบ และเชื่อว่าระบบทำเงินให้เราได้จริง" ระบบก็เกิดมาจากแผนการเทรดและการบริหารพอร์ตของเราที่กล่าวไว้ข้างบนนี่เอง

วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Diary : 13 May 14

1. อย่าไปสนใจตัวเลขกำไรขาดทุน ต้องตัดอารมณ์จากเรื่องแบบนี้ให้ได้ เพราะจิตใจเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดในการเทรด ดังนั้น เราต้องไม่หวั่นไหวไปกับกำไรหรือขาดทุน ให้เรามีสติ ยึดตามแผนไว้เท่านั้น
2. การ Test TL ครั้งที่ 2 มักจะไม่ผ่าน
3. การตี Channel ต้าน เราใช้ 2 จุดบน แต่บางที ถ้าเรายังไม่ได้ 2 จุดบนที่แน่นอน เราสามารถตี Channel โดยใช้ 2 จุดล่างเป็น Reference ได้
4. ราคาเบรค TL ลงมาแล้วกลับเข้าไปไม่ได้ แสดงว่า เทรนกำลังเป็นขาลง
5. เวลาราคาเบรค Channel ลงไป มันจะวิ่งไปที่ Channel ถัดไปเรื่อยๆ ให้ดูทีละแนว

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

39 ข้อคิดจิตวิทยาแห่งความสำเร็จ (บัณฑิต อึ้งรังษี)

39 ข้อคิดจิตวิทยาแห่งความสำเร็จ (บัณฑิต อึ้งรังษี)


1. ฝันให้ใหญ่…..ใหญ่สุดๆ Imagination is Power ถ้าเราตั้งเป้าไว้ว่าจะบินให้ไปถึงดวงดาว  แต่แล้วเราไปถึงได้แค่ยอดเขา เราก็ยังถึงที่สูงกว่าที่เราเป็นอยู่ตอนนี้มากมายนัก อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เคยกล่าวข้อความที่คนทั้งโลกรู้จักกันดีว่า “Imagination is more powerful than knowledge” หรือ “จินตนาการมีพลังกว่าความรู้” นั่นคือการใช้จินตนาการเป็นพลังสร้างฝันให้เป็นจริง
2. มนุษย์จะพัฒนาการไปตามอย่างที่ตนคิด As a Man Thinks,He is ทุกอย่างเริ่มที่ความคิดเท่านั้น ข่าวดีก็คือ….คุณสามารถเปลี่ยนอนาคตของคุณได้ โดยการเปลี่ยนความคิดของคุณ นับแต่นี้เป็นต้นไป
3. วิ่งหนึ่งไมล์ในสี่นาที 4-Minutes Mile ตัวคุณเองลอง”วิ่งหนึ่งไมล์ใน4นาที”บ้างสิครับ ด้วยเรื่องง่ายๆ เช่น ออกกำลังกายลดน้ำหนัก ทำอะไรที่คิดว่าตัวเองทำไม่ได้หรือเกี่ยงมานาน
4. ใช้หัวใจเลือกอนาคต Do What You Love, and the Money Will Follow “ทำสิ่งที่ตนรักแล้วเงินจะตามมาเอง”
5. เดินหน้าหาทาง Do What You Can, Where you can ส่วนที่ผมสนใจมากคือชีวประวัติของวาทยกรที่ยิ่งใหญ่ของโลกแต่ละคน
6. เรียนรู้อย่างรวดเร็วเพื่อเอาชนะ Super-Learning หาสิ่งที่เป็นผลงานของคนที่เก่งที่สุดในสาขาที่คุณสนใจมาศึกษาเลียนแบบปรมาจารย์ทำให้เรียนรู้ได้เร็วขึ้นไม่ต้องมาเสียเวลากับเรื่องที่คนทำได้กันแล้วทำให้เรา “ต่อยอด” ได้เร็วขึ้น มีเวลาคิดค้นเทคนิคใหม่ๆที่ยังไม่เคยมีใครทำกัน
7. ฝ่าด่านอคติฝรั่ง Over-Prepare “ผลงานต้องดีกว่า” คือขึดที่ผมใช้ต่อสู้กับอคติ
8. เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตามตาม Profile Global, Act Local การทำงานร่วมกับคนจำนวนมากต้อง “เก่งงาน”  เพื่อให้เขา “ยอมรับ” ต้อง “เก่งคน” เพื่อให้เขา “ยอมฟัง” ยอมทำตามกันเป็นทีม
9. ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน Goal-Setting “เป้าหมายเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดอันหนึ่งของความสำเร็จ” คุณต้องตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน วัดได้ แต่อย่าปล่อยให้ล่องลอยอยู่ในอากาศให้เขียนลงไป มันจะทำหน้าที่เป็น “สาร” แห่งแรงบันดาลใจที่สร้างพลังและมักให้ผลตอบแทนสูงกว่าที่คิดเสมอ
10. “วางแผน” เป็นเรื่องง่ายๆ Planning ไม่มีความรู้สึกอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการบรรลุเป้าหมาย เพราะนั้นจะเป็นความรู้สึกที่จะทำให้คุณมีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น ข้อแตกต่างระหว่าง “ความฝันลมๆแล้งๆ” กับ “ความมุ่งมั่นฝันใฝ่ถึงความสำเร็จ” ก็คือ “การวางแผน” การวางแผนเป็นเรื่องง่ายๆ ระดับสามัญสำนึก(Common Sense) ถ้าตั้งเป้าหมายของคุณให้ชัดเจนและต้องการมันมากอย่างเพียงพอ การวางแผนก็จะเป็นธรรมชาติ
11. สู้ตาย…ตัดทางถอย Burn the Bridge Behind You ตราบใดที่เรายังไม่ตั้งปณิธานให้แน่วแน่ มัวแต่ประนีประนอมสร้าแผนสำรองและเปิดโอกาสให้ตนเองถอยได้ก็จะประสบความเร็จยิ่งใหญ่ไม่ได้เลย ถ้าคุณมุ่งมั่นตัดสินใจทำอะไรแล้วให้ “เผาสะพานทิ้ง” อย่าล้มเลิกกลางคัน
12. อ่าน อ่าน อ่าน What You Read, You are คุณต้องชั่งน้ำหนักระหว่างเรื่องที่ “น่าอ่าน” กับเรื่องที่ “ควรอ่าน” เพราะการอ่านก็คือการเพาะเมล็ดพันธุ์ทางความคิดเข้าไปในตัว ไม่มีอะไรคุ้มค่าไปกว่าการอ่านหนังสืออีกแล้วละครับ และที่สำคัญ…ไม่มีอะไรมาแทนการอ่านหนังสือได้ด้วย
13. ฝึกซ้อมในใจ Do Within When You are Without ไม่ว่าจะเป็นทักษะอะไรก็ตามการพูดในที่สาธารณะ นำเสนอแผนงานขายสินค้า เล่นเทนนิสคุณสามารถ”ฝึกในใจ” ได้ทั้งนั้น
14. ความรับผิดชอบ Responsibility จุดเริ่มต้นการคิดของคุณ ต้องเริ่มต้นด้วยการยอมรับผิดชอบว่าคุณมาถึงสถานการณ์ตอนนี้ที่คุณเป็นอยู่ไม่ว่าดีหรือร้ายมันเกิดจากคุณทั้งสิ้น ถ้าคุณยอมรับว่าคุณคือคนที่กุมบังเหียนชีวิตของคุณเองคุณจะรู้ถึงศักยภาพที่จะเปลี่ยนอนาคตของคุณเองได้และถ้าคุณจะเปลี่ยนอนาคตของคุณ สิ่งแรกที่คุณต้องเปลี่ยนก็คือความคิดของคุณเอง
15. คิดในทางบวก Think Positive ถ้าเราต้องการอะไรจากชีวิตเราก็ต้องคิดอย่างนั้น คิดตลอดเวลาถึงสิ่งที่เราต้องการ อย่าไปพูดถึงสิ่งที่ไม่ต้องการ”ผมกลัวโน่น ผมกลัวนี่ผมไม่อยากจน ผมไม่อยากป่วย อย่าให้ชีวิตคุณถูกครอบคลุมด้วยความกลัว แต่ให้ถูกผลักดันด้วยความฝัน
16. เส้นไม่ใหญ่ไม่เป็นไร Connection สายสัมพันธ์หมายถึงการยอมรับ ซึ่งมีที่มามากกว่าเรื่องความสามารถและผลงาน ถ้ามัวแต่เก่งแล้วไม่ไปเสริมสร้างสายสัมพันธ์ให้คนอื่นเขารักชอบ มักก็จบเพราะฉะนั้น ความสามารถกับการสายสัมพันธ์ต้องไปด้วยกัน
17. เพียง Resume ในกระดาษ ไม่ให้งานที่ดีกับใคร งานที่ดีมักจะมาจากการที่คนเรารู้จัก อาจจะเป็นเจ้านายหรือมีคนที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าและเห็นผลงานของเรา ดังนั้นประเด็นจึงมีอยู่ว่าจะทำอย่างไรให้ผลงานของเราเป็นที่รู้จักนี่เป็นเรื่องของสายสัมพันธ์เครือข่ายความไว้เนื้อเชื่อ ใจในความสามารถจนเกิดการแนะนำบอกต่อกันมา ไม่ใช่เรื่องของกระดาษ “Resume” แผ่นเดียว
18. รอให้เรียนจบก็สายแล้ว Always Think Steps Ahead การเรียนทำให้คุณได้ความรู้ได้ทฤษฎีได้ใบปริญญา แต่ยังไม่ได้ “ผลงาน” การไปฝึกงานคือจุดเริ่มต้นที่จะทำให้คุณรู้จักคนในหน่วยงานนั้น จากนั้นต้องทำให้เขาเห็นผลงานของเรา ซึ่งต้องทำให้โดดเด่นขึ้นมาจากคนอื่น จนที่สุดเขาชอบเราและนึกถึงเราเป็นคนแรกเวลาที่ต้องการคน
19. ตามหาคนเก่งมาเป็นพี่เลี้ยง Learn From the Masters เมื่อคุณตัดสินใจแล้วว่าจะพัฒนาตนเองทางด้านไหน คุณจะต้องไปสืบเสาะเอาคนที่เก่งที่สุดในสาขานั้นมาเป็น “พี่เลี้ยง” คุณให้ได้ และที่สำคัญคือควรเก่งทางด้านปฏิบัติ ไม่ใช่ด้านทฤษฎีอย่างเดียว การรู้จักคนที่ถูกต้องทำให้เราประหยัดเวลาได้อีกเยอะ
20. ชื่อเสียงรักษาเท่าชีวิต Reputation ตัดสินใจตั้งแต่ตอนนี้ถ้าคุณจะมีชื่อเสียง จะให้คนพูดถึงคุณว่าอย่างไรว่าคุณเป็นคนซื่อสัตย์หรือคนโกงว่าคุณเป็นคนตรงเวลาหรืออู้งาน
21. “นอกวง”เลย”นอกกรอบ” Think Outside the Box อย่ายอมรับสิ่งที่คนอื่นบอกว่าเป็นข้อจำกัดของเรา “การคิดต่างกันทำให้อนาคตต่างกัน”
22. คิดใหญ่ทลายข้อจำกัด Accept No Limits หากข้อจำกัดนั้นเป็นความจริงที่วางอยู่ตรงหน้าคุณ วิธีการทลายก็คือคิดให้ใหญ่กว่า ซึ่งก็คือการคิดนอกกรอบในอีกรูปแบบหนึ่งเหมือนกัน ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีอะไรจำกัดตัวเราได้ ความเป็นไปได้มีหมด เพราะศักยภาพของมนุษย์นั้นมีสูงมาก เพราะฉะนั้น อย่าไปเชื่อข้อจำกัดที่คนอื่นบอกเรามา ข้อจำกัดไม่มีหรอก มีแต่ความคิดเรื่องข้อจำกัด
23. ขอคืบให้ศอก Go the Extra Mile ผลงานของคุณจะต้องเยี่ยมและดีพร้อมเสมอ แต่นอกเหนือจากนั้นต้องให้เกินความคาดหมายของผู้รับ อย่าเป็นคนที่ทำได้แค่เท่าที่สั่ง สิ่งนี้ยังเป็นการพัฒนาเราอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
24. เพิ่มคุณค่าให้ตนเองเสมอ Constant Improvement งานของผมไม่มีคำว่าอยู่เท่าเดิม ถ้าผมไม่โตหรือพัฒนาความก้าวหน้าอาชีพก็จะเหี่ยวเฉาและตายไปและความจริงนี้ใช้ได้กับธุรกิจหลายประเภทที่มีการแข่งขันกัน
25. ภาษานั้นสำคัญไฉน Language Skills
26. พรสวรรค์เรื่องเล็ก ทำงานหนักเป็นเรื่องใหญ่ Talent Genius is 10% inspiration and 90% perspiration
27. อุปสรรคและความผิดหวัง Overcoming Obstacles ยิ่งฝันใหญ่เท่าไรก็ต้องเจออุปสรรคมากเท่านั้น สิ่งที่สำคัญคือวิธีคิด เมื่อต้องเจออุปสรรคและความผิดหวัง “อย่าให้มันหยุดเราได้” ถ้าอุปสรรคและปัญหาเป็นเรื่องที่แน่นอน สิ่งที่จะช่วยให้เราจัดการกับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพก็คือการเตรียมการก่อนล่วงหน้า
28. วิธีเลือกคู่ครองให้ถูก พลังแห่งจิตใต้สำนึกน่าจะนำมาใช้ได้ในการหาคู่ครอง
29. ความถ่อมตัว Humility “อย่าคิดว่าเราเก่ง คนที่เคยทำได้เหมือนเราและดีกว่าเราก็มีมากในโลกนี้” คนยิ่งขึ้นสูงต้องยิ่งถ่อมตัว”
30. อย่าเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่น Don’t Compare เพราะเราเปลี่ยนอดีตไม่ได้แต่เราเปลี่ยนอนาคตได้ อย่ามัวเสียเวลาคิดถึงอดีตที่เปลี่ยนไม่ได้ คิดถึงอนาคตที่สดใสของคุณดีกว่า
31. กระสุนนัดเดียวต้องโดน Limites Bullets
32. คำปฏิเสธ….นั้นไซร้ธรรมดา Coping with Rejections ผมมีสองทางให้เลือก จะยอมแพ้หรือจะถามคนต่อไปที่อาจจะมีความต้องการ “ตรงกับเรา”
33. กินกบตั้งแต่เช้า Eat that frog ศัตรูตัวเล็กๆที่มีประสิทธิภาพสูงในการสกัดกั้นความสำเร็จคือนิสัยการผัดวันประกันพรุ่งเพื่อสร้างวินัย งานชิ้นแรกที่คุณควรทำในแต่ละวันคืองานที่คุณไม่อยากทำที่สุด งานที่ยากที่สุด
34. โชคชะตาไม่สำคัญ LUCK โชคเกิดขึ้นเมื่อการเตรียมพร้อมพบกับโอกาส
35. มีความสุขเดี๋ยวนิ้ Be Happy-Now! ถ้าคุณสังเกต ความสุขไมได้มาจากสิ่งภายนอก มันมาจากภายในขึ้นอยู่กับคุณเห็นค่ากับสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้วมากน้อยแค่ไหน
36. โลกนี้ไม่เคยต้องยุติธรรม The World is Never Fair การตอบรับสถานการณ์ที่เรามีหรือเป็นอยู่สำคัญกว่าสถานการณ์ที่ชีวิตให้มา เพราะฉะนั้น ทิศทางของชีวิตเราอยู่ในความควบคุมของเราเอง
37. อย่าล้มเลิก Never Give Up เหตุผลส่วนหนึ่งก็คือว่า บางครั้งความสำเร็จอาจจะอยู่แค่เอื้อม แต่เพราะความท้อแท้และเหนื่อยหน่ายทำให้เราล้มเลิกไปเสียก่อน ความสำเร็จอยู่หัวเลี้ยวสุดท้ายที่เอง
38. อย่างหวัดแต่พึ่งคนอื่น Your are Responsible คุณต้องรับผิดชอบอาชีพของคุณเอง
39. อธิษฐาน Prayer การอธิฐาน ขาดไม่ได้สำหรับการให้ได้สิ่งที่ต้องการ เมื่อคุณรู้สึกหมดหนทาง…..จงอธิฐาน
ขอบคุณ: ผู้สรุป
ปล.จำที่มาที่แน่ชัดไม่ได้เนื่องจากเก็บไว้นานแล้ว
- See more at: http://www.yimtamphan.com/?p=16#sthash.t9BHKYAB.4biD3iPx.dpuf

Diary : 30 Apr 14

วันนี้ได้เข้า Sales Manager Meeting ครั้งแรก ทำให้รับรู้ถึงความเครียดอย่างมาก และเราก็ต้องมาเสียเวลาอยู่ทั้งวันในการฟังเรื่องของคนอื่น และพูดงานที่เราทำมา แถมโดนด่า หากทำไม่ได้ตามเป้าหมาย

"นี่คือสิ่งที่เราต้องการในชีวิตหรอ?" มีคำถามนี้เกิดขึ้นในหัวของเราตลอดการประชุม ซึ่งคำตอบคือ "ไม่ใช่!!" เราไม่ได้ต้องการชีวิตแบบนี้ เราอยากเอาเวลาของเราไปทำในสิ่งที่ตัวเองรัก และอยู่กับคนที่เรารักมากกว่า ถ้าเรามีลูก เราก็อยากจะมีเวลาให้ลูก แต่หากเราทำงานประจำต่อไป และเป็น Sales Manager งานตัวเองก็ต้องดู ยอดก็ต้อง Meet แถมเราต้องไปดูแลลูกน้อง งานเยอะขึ้นมากเกินกว่าการขึ้นเงินเดือน ซึ่งมองแล้ว ไม่คุ้มค่ากับเวลาที่เราเสียไปเลย

ดังนั้นสิ่งเดียวที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากงานประจำ ก็คือ การได้ทำงานที่เราชอบ นั่นคือ "Trader" เราจะต้องเทรดให้สามารถเลี้ยงตัวเองให้ได้ภายใน 2 ปี ระหว่างนี้เราสามารถที่จะทำงานประจำต่อไปด้วยได้

ป้าหมายของเราคือ เราจะต้องสร้าง Cash Flow จากการเทรดให้เท่ากับเงินเดือนของเราภายใน 2 ปี

ขอบคุณการประชุมครั้งนี้ ทำให้เป้าหมายในชีวิตของเราชัดขึ้น

---------------------------------------------
11. สู้ตาย…ตัดทางถอย Burn the Bridge Behind You ตราบใดที่เรายังไม่ตั้งปณิธานให้แน่วแน่ มัวแต่ประนีประนอมสร้าแผนสำรองและเปิดโอกาสให้ตนเองถอยได้ก็จะประสบความเร็จยิ่งใหญ่ไม่ได้เลย ถ้าคุณมุ่งมั่นตัดสินใจทำอะไรแล้วให้ “เผาสะพานทิ้ง” อย่าล้มเลิกกลางคัน - See more at: http://www.yimtamphan.com/?p=16#sthash.t9BHKYAB.n6ZQuM7x.dpuf

ข้อคิดที่ดีจากอาจารย์

การเก็งกำไรได้ดีนั้น คือการที่คุณสามารถเช้าซื้อขายได้ตามกฎหรือระบบของคุณ ซึ่งไม่เกี่ยวกับว่าคุณจะได้กำไรหรือขาดทุน และนี่คือสิ่งที่นักเก็งกำไรชั้นยอดทำ!!!

สนใจที่กระบวนการ ไม่ใช่สนใจแต่กำไร
มันไม่ใช่เพราะว่า เครื่องมืออินดิเคเตอร์ หรือระบบเทรด Cowbaunga หรือซูเปอร์กลยุทธ์ ที่ทำให้ เงินคุณขาดทุนตอนปลายปี แต่เป็นความสามารถในการอ่านตลาด การทำตามกลยุทธ์ที่ถูกต้อง ถูกสถานการณ์ และการปรับการจัดการความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง และทำกำไรได้มากกว่าขาดทุน ในระยะยาว

เรียนรู้ตลาด เรียนรู้เทคนิคการเทรด และการเรียนรู้การใช้ระบบเทรด ที่มีความเป็นไปได้ในกำไร เรียนรู้ในการ จัดการความเสี่ยงด้วยการใช้การจัดการออร์เดอร์ หรือตั้งจุดหยุดขาดทุน แล้วใช้ทั้งหมด มาฝึก
หลังจากนั้น กระบวนการเหล่านี้จะนำคุณไปสู่ระบบ ที่ช่วยให้คุณประสบความสำเร็จ โดยมีกำไรมากกว่า ขาดทุน ในท้ายที่สุด

ใช้ความทุ่มเทในการสร้างทักษะ ที่จะทำให้คุณได้กำไรในการเทรด ในทุกสภาพตลาด ที่มันเข้ามาหาคุณ

Lesson Learn : 30 Apr 14

คืนนี้เป็นคืนที่พลาดอย่างแรง คืนที่ตลาดเหวี่ยงสุดๆ แต่เรากลับไม่ได้อะไรเลย กำไรน้อย แถมยังมีไม้ขาดทุนไปอีก ไม่ดีเลย

สิ่งที่เราได้เรียนรู้มา 3 ข้อหลักๆ คือ
1. ต้องวางแผนทุกคืน เพื่อที่เราจะได้ไม่พลาดจังหวะการเหวี่ยงเร็วและแรงแบบนี้อีก
2. ต้องทำตามแผนอย่างเคร่งครัด อย่าใช้อารมณ์ในการออก เพราะไปคิดว่ามันน่าจะลง เรากำลังมโนเองแล้ว ทำให้เราตกรถ AU ไปเลย T-T
3. ต้องติดตามข่าวด้วย เพื่อดูว่าข่าวไหนมีผลกับตลาดมากๆ เราต้องอยู่ช่วงนั้นด้วย

การวางแผนทุกคืน ก็ทำให้เราสามารถหา Inquiry ใหม่ๆ ได้ทุกวัน เหมือนเราเป็น Sales ไปขายของ ต้องหา Inquiry จากลูกค้า แต่เราหา Inquiry จากตลาดแทน

การทำตามแผน ถึงแม้จะขาดทุน ก็ดีกว่า การใช้อารมณ์ตัดสิน เราควรใช้แผนตัดสินมากกว่า

การติดตามข่าว ทำให้เราหาประโยชน์จากการเหวี่ยงของตลาดได้