วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Tarot Workshop

ทำ Tarot Workshop จากหนังสือ E-Book ของคุณวิชญ์ www.vittarot.com 
1. ข้อดีของเขาคืออะไร?
เป็นคนมุ่งมั่น ไม่ย่อท้อ แม้จะเจออุปสรรคมามากมาย ก็ยังยืนหยัดสู้ต่อไป หวังว่าจะถึงเป้าหมายในสักวันหนึ่ง
2. จุดเด่นของเขาคืออะไร?
เป็นคนมีความรับผิดชอบสูง ยอมแบกโลกทั้งใบไว้กับตัวเอง แต่หน้าตาก็ยังเฉยๆ ไม่ได้เหนื่อย เหมือนพร้อมรับที่จะแก้ปัญหาพวกนั้นให้ รู้สึกชิวๆ
3. ความน่ารักของเขาอยู่ตรงไหน?
เป็นคนอัธยาศัยดี ไปคุยกับคนอื่นก่อน นิสัยเรียบร้อย รู้จักกาลเทศะ ตรงต่อเวลา
4. เสน่ห์ที่ทำให้หลายคนชอบเขาคืออะไร?
เป็นคนแข็งแรง กล้าลุย มั่นใจ ไม่ยอมแพ้ จะต้องชนะเท่านั้น
5. เขาเก่งขนาดไหน?
เก่งงานบริการ แต่งตัวดี มีความสุข
6. เขาควรทำอย่างไรเพื่อให้เขาได้ค้นพบศักยภาพในตัวเอง?
ฝึกความอดทน ทำให้สิ่งที่ตัวเองเชื่อ
7. เขาเยี่ยมยอดยังไง?
เขาเป็นเหมือนหอคอยส่งแสงนำทางทุกคนไป แม้ในยามมืด
8. เขาสามารถเปลี่ยนชีวิตตัวเองได้ไกลแค่ไหน?
เปลี่ยนได้ราวฟ้ากับเหว สวรรค์กับนรก ถ้าเขาอดทน ตั้งใจจริงๆ ก็จะประสบความสำเร็จ แต่ถ้าไม่ตั้งใจก็ลงนรก
9. เข าสามา รถทำอะไรได้บ้างเพื่อให้คนรอบข้างมีความสุข?
เขาทำให้คนรอบข้างมีความสุขได้ เพราะเขาชอบเซอร์ไพรส์ ทำให้คนอมยิ้มได้
10. เขาควรทำอะไรเพื่อให้คนรอบข้างรักเขาในแบบที่เขาเป็น
เขาควรช่วยเหลือคนรอบข้างอย่างเต็มที่ ไม่ว่าปัญหานั้นจะยากเย็นแบบไหนก็ตาม และเขากับคนรอบข้างก็จะมีความสุข
11. เขาควรจะทำอะไรเพื่อความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของชีวิตตัวเขา?
เขาควรจะลุยไปข้างหน้า ลงมาในเรือกับเพื่อนๆ แล้ว ต้องไปให้ถึงฝั่งเท่านั้น ระหว่างทางที่เดินก็ดูมีตวามสุข

เฉลย Workshop นี้ คุณวิชญ์ได้ถามไพ่ Tarot ว่า "คุณผู้อ่าน" ด้วยคำถามข้างต้นทั้งหมด หมายความว่า คำตอบนั้นก็คือ "ตัวเรา" เอง แปลกดีที่มันใกล้เคียงกับตัวเราจริงๆ ทำให้เราได้คำตอบหลายอย่างด้วย

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Review - 29 Oct 14

สิ่งที่คิดได้จากการเทียบการเทรดกับการขาย
1. ไม่ว่าธุรกิจอะไร ถ้าจะประสบความสำเร็จ สิ่งสำคัญคือ "ความต่อเนื่อง ทำอย่างสม่ำเสมอ"
2. การเทรด ต้องทำใจไว้เลยว่ามีได้และเสีย เหมือนกับการขาย ก็มีได้และเสียเหมือนกัน แค่การเทรดนั้นจะเสียเงินจริง แต่การขายจะเสียโอกาสในการขายเท่านั้น ดังนั้นเราต้องทำใจยอมรับธรรมชาติของธุรกิจการเทรดตั้งแต่แรก
3. การขาย ถ้าเราสามารถหาข้อมูลของลูกค้า คู่แข่ง อื่นๆ ได้มากเท่าไร ก็จะทำให้เราวิเคราะห์โอกาสที่จะได้งานสูงขึ้น การเทรดก็เช่นกัน ถ้าเราสามารถหาข้อมูลทาง Technical Fundamental และอื่นๆ ได้มากเท่าไร เราก็มีโอกาสจะได้กำไรสูงขึ้นเท่านั้น แถมยังมีโอกาสอัดเงินเพิ่มเพื่อทำให้พอร์ตโตเร็วขึ้นด้วย
4. การทำงานอะไรก็แล้วแต่ เราจะต้องมี "แผนการ" และ "ลงมือทำตามแผนนั้น" จากนั้นดู "ผลลัพธ์" จึงจะวิเคราะห์ "ปัญหา" เพื่อหา "วิธีแก้ไข" หรือปรับปรุงให้ดีขึ้นได้

Step to Success!
ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน!! (ทั้งระยะสั้นและยาว) --> PLAN
ลงมือทำทันที เมื่อเจอปัญหาก็แก้ไข พลาดก็ทำใหม่ ล้มก็ลุกขึ้นยืนใหม่ --> ACTION
Focus เป้าหมายให้ชัดเจน --> FOCUS 
เน้นที่คุณภาพของงาน ปริมาณงานเป็นอันดับสอง --> QUALITY
ทำอะไรที่เกี่ยวกับมวลชนส่วนรวม ตลาดจะกว้าง --> PEOPLE


เราต้องเข้าทุกไม้ตามระบบของเรา

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2557

"หมัดน๊อก 35 หมัดบนสังเวียนชีวิตที่ผมชกมา 29 ปี"

วันนี้พี่ WEB พรชัย รัตนนนทชัยสุข นักลงทุนคุณค่าผู้แปลหนังสือ วอน์เรนบัฟเฟต post "หมัดน๊อก 35 หมัดบนสังเวียนชีวิตที่ผมชกมา 29 ปี"

1. เราเลือกหลายๆ อย่างในชีวิตไม่ได้ เช่น เราเลือกเกิดไม่ได้ เลือกหน้าตาไม่ได้ การมานั่งคิดเรื่องที่เราแก้ไขไม่ได้เป็นเรื่องเสียเวลา ทำให้ดีที่สุดกับสิ่งที่เรามีและสิ่งที่เราเป็นจะเป็นการใช้เวลาที่คุ้มค่ากว่า

2. อย่าเรียกร้องจากชีวิตมากเกินไป แต่ก็อย่าโอ๋ตัวเองมากจนสำออย ควรพยายามตั้งใจเข้าให้ถึงเส้นชัย แต่มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลยที่เราจะต้องเข้าถึงเส้นชัยก่อนใคร ไม่จำเป็นด้วยว่าต้องติดอันดับใดๆ

3. เรื่องไม่ดี เรื่องผิดหวัง ปัญหาที่ผ่านไปแล้ว เรียนรู้จากมันแล้วก็จบๆ ไป เลิกคิด อย่าคิดวนไปวนมา การเอาปัญหาที่ผ่านไปแล้วมาคิดซ้ำๆ ก็เหมือนเราเป็นแผล แล้วเราเอามือบี้แผลเล่นซ้ำๆ อยู่ยังงั้น

4. เรื่องที่ยังไม่เกิด เราก็ไม่ควรทุกข์ การทุกข์ไปล่วงหน้าไม่ได้ช่วยอะไรเลย คนเรามักทุกข์ไปก่อนเกินเหตุ แล้วต่อให้มันเกิดปัญหาขึ้นจริงๆ เราไปทุกข์ตอนนั้นก็ยังทัน ตั๋วทุกข์ไม่มีหมด มีแจกตลอดเวลา ไม่ต้องรีบไปแย่งมา

5. เราไม่ได้ monopoly ความทุกข์ มันไม่ใช่เรื่อง personal เราไม่ได้มีความทุกข์อยู่คนเดียว ใครๆ ก็มีความทุกข์กันทั้งนั้น เรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง ฝนไม่ได้ตกอยู่บนหัวเราคนเดียว แบบสติ๊กเกอร์ใน line ปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ได้มีไว้ให้กลุ้ม

6. การอ่านเป็นการเปิดโลกกว้าง ทำให้เรารู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ ทำให้เราสามารถเรียนรู้จากชีวิตคนอื่น โดยที่เราไม่ต้องไปเจอกับเรื่องนั้นๆ เอง หนังสือคือแหล่งความรู้ที่มีราคาถูกที่สุด คุ้มค่าที่สุด นั่งทำไรอยู่ หาหนังสือมาอ่านจิครัช

7. มี inner scorecard เป็นมาตรวัดตัวเอง คนที่วัดตัวเองด้วย outer scorecard หรือวัดจากความคิดของคนอื่น อยากได้รับความชื่นชมจากคนอื่น นอกจากจะต้องสร้างความสำเร็จแล้ว ยังต้องป่าวประกาศด้วย มันน่าเหนื่อย!!!

8. เวลามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เรารู้ชัดๆ ตอนนั้นไม่ได้หรอกว่า มันคือโชคดีหรือโชคร้าย เรื่องที่ดูเหมือนเป็นโชคร้าย จริงๆ แล้วอาจจะเป็นโชคดี เรื่องที่ดูเป็นโชคดี จริงๆ แล้วอาจจะเป็นโชคร้ายก็ได้ ถ้าเราดูกันยาวๆ หน่อย

9. อย่าหมกมุ่นกับเชิงปริมาณมากเกินไป เชิงคุณภาพสำคัญกว่าเยอะ มีเพื่อนกินข้าวกี่คนไม่สำคัญเท่ากับว่าเวลาเรามีปัญหา มีเพื่อนกี่คนที่ยินดีรับฟังและช่วยเหลือเรา อ่านหนังสือกี่เล่มไม่สำคัญเท่ากับว่าเราอ่านหนังสือดีๆ ไปกี่เล่ม

10. เราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเดินทางไขว่คว้า ตอนที่เราถึงจุดหมายเป็นแค่ฉากสั้นๆ ฉากหนึ่งของเรื่องราวทั้งหมด ถ้าเราไม่มีความสุขระหว่างทาง เราจะเสียเวลาส่วนใหญ่ของเราไป

11. อย่าใช้เงินเป็นตัวตั้งมากเกินไป เพราะจริงๆ เราไม่ได้อยากได้เงินเพราะอยากได้เงิน แต่เราอยากได้เงินเพราะคิดว่าเงินมันจะทำให้เรามีความสุข

12. ความฝัน ไม่ได้มีไว้ให้ฝัน แต่มีไว้ให้เราทำให้มันเป็นจริง นั่งฝันแล้วไม่ลงมือทำ มันก็คงเป็นได้แค่ฝันลมๆ แล้งๆ

13. อยากทำอะไร ทยอยทำ อย่าบอกตัวเองว่าเดี๋ยวจะทำตอนอายุเท่านั้นเท่านี้ ชีวิตคนเราไม่แน่นอน เราไม่มีทางแน่ใจได้เลยว่า นาทีต่อไป เราจะยังหายใจอยู่หรือเปล่า

14. กราฟชีวิตคนเรามีหลายแบบ พุ่งจากล่างขึ้นบน ดิ่งจากบนลงล่าง ราบเรียบไปเรื่อย พุ่งแล้วราบเรียบ พุ่งแล้วดิ่ง สารพัดแบบฉะนั้น ตอนอยู่สูง อย่าผยอง ตอนตกต่ำ อย่าท้อ

15. ความรักที่แท้จริงคือการให้ที่ไม่ได้หวังอะไรตอบแทน การให้ที่หวังสิ่งตอบแทนไม่ใช่ความรักที่แท้ แต่เป็นการแลกเปลี่ยนกัน

16. การปฏิบัติกับคนอื่นแตกต่างกันตามฐานะหรือสถานะทางสังคม เป็นสิ่งไม่ควรทำ ลูกเศรษฐีที่งอมืองอเท้าไปวันๆ จะมีค่ามากกว่าคนกวาดขยะที่ตั้งใจทำงานได้ยังไง ไม่เข้าใจ

17. การปฏิบัติกับคนอื่นเป็น butterfly effect เราโมโหใส่คนอื่นแบบไม่มีเหตุผล คนที่ถูกโมโหก็อาจจะไปโมโหคนอื่นต่อ ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเรายิ้มแย้มกับคนอื่น เค้าก็อาจทำแบบเดียวกันกับคนอื่นต่อ ต่อไปเรื่อยๆ

18. อย่าเชื่อใครเพียงเพราะเค้ามีสถานะเหนือกว่าหรืออายุมากกว่า เช่น ครูจะพูดถูกก็เพราะสิ่งที่ครูพูดมันถูก ไม่ใช่ถูกเพราะครูเป็นครู

19. การเลือกที่จะมีความสุขเป็นการตัดสินใจอย่างหนึ่ง เราสามารถเลือกที่จะมีความสุขได้ในนาทีนี้เลย โดยที่ชีวิตเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลยด้วยซ้ำ

20. อย่ายอมให้ใครมาทำลายความฝันหรือบั่นทอนเรา เค้าไม่รู้จักเรา เค้าไม่มีสิทธิ์มาพิพากษาชีวิตเรา แต่ยังไงก็ตาม เราก็ต้องไม่หลอกตัวเองด้วย

21. การต่อสู้เพื่อความถูกต้องไม่ใช่เรื่องง่ายต้องอดทนอดกลั้น

22. ก่อนจะนับถือชื่นชมใคร ดูละเอียดๆ ซักนิด อย่าดูแต่เปลือก คนเรามักจะให้เราเห็นเฉพาะสิ่งที่เค้าอยากให้เราเห็นเท่านั้น

23. ควรสนับสนุนชื่นชมคนทำดี เค้าคงทำดีของเค้าแหละ แต่อย่างน้อย เค้าจะได้มีกำลังใจมากขึ้น

24. คุณลักษณะอย่างหนึ่งของคนที่ประสบความสำเร็จคือการ focus อย่าทำอะไรสะเปะสะปะ เยอะแยะไปหมด แต่ไม่เชี่ยวชาญอะไรเลย ชีวิตคนเราต้องมีวิชาเอก

25. ความสำเร็จที่เกิดจากทักษะเท่านั้นที่จะเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกได้อย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จที่เกิดจากโชคมันไม่ยั่งยืน เปลืองธูปด้วย เพราะเราต้องไหว้เจ้าเยอะ

26. การซื้อของ เราได้ของมาก็จริง แต่พอนานๆ ไป ค่าของมันก็จะน้อยลง เรามักเห่อแค่ตอนแรกๆ ในทางตรงกันข้าม การซื้อประสบการณ์ มันจะตราตรึงในความทรงจำของเราตลอดไป

27. โลกเราไม่มีอะไรที่เราจะได้มาฟรีๆ ทุกอย่าง เราต้องเอาอะไรบางอย่างไปแลกมาทั้งนั้นอย่่งน้อยก็เวลาที่ใช้ไปคิดดูดีๆ ก่อนว่า มันคุ้มมั๊ย

28. ความฝันของเราไม่จำเป็นต้องไปเหมือนความฝันของใคร คนอื่นมองไม่เห็น ช่างเค้า เราเห็นของเราก็พอ มีฝันแล้วก็ต้องพยายาม ทุ่มเททุกสิ่งให้แก่ความฝันซึ่งมีแต่เราเท่านั้นที่มองเห็น

29. การพยายามอย่างหนักดูเหมือนเป็นเรื่องดี แต่ทิศทางสำคัญที่สุด ถ้าเราวิ่งผิดทาง ยิ่งเราวิ่งเร็วเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งห่างไกลจากเป้าหมายของเรามากขึ้นเท่านั้น

30. ชีวิตคนเราแต่ละคนเป็นเหมือนเสื้อผ้าสั่งตัด ไม่ใช่เสื้อผ้าสำเร็จรูป ไม่มีชุดไหนที่เหมือนกันเป๊ะๆ เราไม่ควรไปเปรียบเทียบชีวิตของเรากับใคร คนอื่นจะดีหรือแย่ยังไง ไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นหรือแย่ลง เราจะดีขึ้นหรือแย่ลงก็เพราะน้ำมือตัวเองทั้งนั้น จะเปรียบเทียบ ก็เทียบตัวเองในวันนี้กับตัวเองเมื่อวาน ว่าเราได้พัฒนาตัวเองหรือเปล่า

31. ทำดีได้ดี ทำไม่ดีได้ไม่ดีหรือเปล่า ไม่แน่ใจ ทำดีสบายใจ ทำไม่ดีไม่สบายใจจริงม๊ย เค้าไม่รู้ เพราะคนทำไม่ดีก็สามารถหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองให้สบายใจได้ เอาเป็นว่า ทำดีได้ทำดี

32. การทำดีของคนคนนึง อาจไปกระตุ้นให้คนอื่นๆ อีกหลายคนอยากทำดีด้วย เหมือนการโยนก้อนหินลงไปในบ่อน้ำ น้ำจะกระเพื่อมขยายวงออกไป

33. การใช้ชีวิตเป็นศิลปะ ไม่ได้มีสูตรสำเร็จเป๊ะๆ ในทุกสถานการณ์ มีความคิดที่ยืดหยุ่น ประเมินสถานการณ์ แล้วเลือกกลยุทธ์ให้เหมาะสม บางครั้ง น้ำขึ้นให้รีบตัก แต่อีกหลายครั้ง ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม หลายครั้ง ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น แต่บางครั้ง เราก็ต้องรู้จักถอย

34. คนชอบคิดไปว่า เป็นจอมยุทธ์แต่งตัวดีๆ มีวรยุทธ เป็นประมุขยุทธภพ ดีกว่าเป็นเสี่ยวเอ้อ ที่ต้องคอยเอาผ้าขี้ริ้วปัดโต๊ะ ใครจะรู้ เผลอๆ เสี่ยวเอ้ออาจมีความสุขมากกว่าประมุขยุทธภพซะอีก ไม่งั้น ทำไม ตอนจบ พระเอกชอบชวนนางเอกถอนตัวออกจากยุทธภพแล้วไปเลี้ยงเป็ดปลูกผักตาหลอดด

35. ความคิดเราเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ สิ่งที่เราคิดในวันนี้ วันหน้า เราอาจจะไม่คิดแบบนี้แล้ว อย่าไปคิดว่า แต่ละข้อข้างบนมันถูก พอใช้ชีวิตไปอีกซักพัก อาจจะคิดใหม่ว่ามันไม่ใช่แล้ว

ขอบคุณ Value Visions ที่รวบรวม

บทเรียนที่ได้รับจากการลาออกจากงาน


ชอบข้อสุดท้ายมากที่สุดเลย

10. ยอดเยี่ยม คือ 100% นอกจากนั้น ยังไม่ใช่

คนเรามักคิดว่าคนที่สำเร็จมักมีทางลัด ทั้งๆที่เขาบอกว่าเขาทำงานหนักและเขาใช้เวลากว่าจะมาถึงจุดนี้
แต่เราก็มักจะไม่เชื่อและคิดว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ เพราะเราก็ทำงานหนักเหมือนกัน แต่ทำไมไม่เห็นได้แบบเขา คนเราเข้าใจว่าการจะได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม คือการทำงานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่จริงๆแล้ว การทำงานหนักในแบบของคนประสบความสำเร็จ ไม่ได้วัดจากเวลาที่ลงมือทำ
แต่เขาวัดจาก “คุณภาพของงาน” ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว เขาจะใช้เวลาและทรัพยากรทั้งหมดที่มีในแต่ละวันให้ดีที่สุด ทุกวันต้องยอดเยี่ยม 100% ต่ำกว่านี้คือ ไม่ได้ตามที่คาดหวัง และนั่นเป็นอีกเหตุผลว่าทำไมเราถึงไม่ประสบความสำเร็จ อย่างใจอยากสักที เพราะเราก็ขยันมากๆ เราทุ่มเทมากๆ แต่มันผิดจุดเท่านั้นเอง
สิ่งที่เราคิดว่าเราทุ่มเทแล้วด้วยความเหนื่อยยาก มันอาจให้ผลลัพธ์แค่ 50% ในขณะที่คนที่คนอื่นเขาอาจดูไม่เหนื่อยเท่าเรา แต่เขาทำงานได้ยอดเยี่ยม 100% ซึ่งเขาไม่ได้มีเคล็ดลับอะไรหรอก เขาก็แค่ทำสิ่งที่เขาต้องทำ เพียงแต่เราแค่ทุ่มเทผิดที่ผิดทางเท่านั้นเอง หลักของการทำงานให้มีประสิทธิภาพคือ ความสม่ำเสมอ การลงมือทำสิ่งใดก็ตามแต่ทำนานๆครั้ง ผลก็จะไม่เทียบเท่ากับการทำให้เต็มที่อยู่สม่ำเสมอ
มีการวิจัยบอกว่าถ้าเราทำสิ่งใดแบบเดิมๆซ้ำๆติดต่อกันเกิน 30 วันขึ้นไป มันจะกลายเป็นนิสัยของเรา ดังนั้นไม่ว่าตอนนี้เรามีนิสัยที่อยากแก้ไข หรือต้องการสร้างนิสัยดีๆให้ตัวเราใหม่ ลองใช้กฎ 30 วันดูก็ได้ ปรับแบบแผนการใช้ชีวิตใหม่ แรกๆอาจทำได้ยากมาก เพราะเรายังยึดติดอยู่กับนิสัยเดิม แต่เมื่อเราฝืนใจทำมันไปเรื่อยๆ เราจะเริ่มเคยชิน และทุกอย่างจะง่ายขึ้น ผลลัพธ์ใหม่ในด้านบวกก็จะตามเรามาในที่สุด
นี่คือบทเรียนที่คน ลาออกหลายคนได้ค้นพบ การเปลี่ยนแปลงอาจสร้างความรู้สึกแย่ แต่ผลลัพธ์ของมันไม่ได้แย่เสมอไป อยู่ที่เราเรียนรู้และนำความเปลี่ยนแปลงนี้มาใช้ประโยชน์เพื่อพัฒนาศักยภาพ ตัวเองให้สูงสุด
 

อลิซาเบธ โฮม มหาเศรษฐีพันล้าน ที่อายุน้อยที่สุดในโลก

คนที่ประสบความมสำเร็จหลายคน อย่าง มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก, บิล เกตส์, สตีเวน จอบส์, โคโค ชาเนล จุดเริ่มต้นของพวกเขาเหมือนกันตรงที่มีปณิธานอย่างแรงกล้า จนกล้าตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย เพราะพวกคิดว่าจะไปทำตามความฝันซึ่งต้องใช้ความกล้าอย่างมาก แต่ สิ่งสำคัญอยู่ที่พวกเขาตั้งเป้าหมายที่จะช่วยเหลือคนบนโลกนี้ด้วยอุดมกา ณ์ที่มี ไม่ได้ตั้งเป้าที่จำนวนเงินสูงๆเหมือนที่หลายคนคิดกัน หากเราตั้งเป้าหมายให้ถูกทางแล้ว ชีวิตเราก็ประสบความเร็จได้เหมือนกัน!



 Credit : http://women.mthai.com/women-variety/191464.html



ดูไพ่ Tarot กับ VitTarot

วันนี้เราได้ดูไพ่ Tarot กับ VitTarot เราคิดว่าน่าจะช่วยให้เราหาทางออกปัญหาของเราได้

สรุปที่ดูไพ่ Tarot มา

เปิดไพ่ใบแรกพร้อมคำถามว่า ชีวิตพี่โยเป็นอย่างไร?


ไพ่บอกว่าเราขี่ม้าอย่างสง่า แต่เบรคกะทันหัน เพราะเจอแม่น้ำขวาง แถมไม่มองถ้วยหรือม้าด้วย เหมือนมองอย่างอื่น เหมือนกับว่า เราไม่มองเป้าหมายที่เราต้องการ ไม่มองสิ่งที่เราอยากจะทำ แต่ดันไปโฟกัสอย่างอื่น

ไพ่ใบที่สอง จำคำถามไม่ได้ แต่เหมือนให้ขยายความรายละเอียดจากคำถามแรก
แมวถือไม้ขวางเอาไว้แล้วเดินไปยังปราสาท เหมือนกับว่า เราก็พยายามเดินไปที่เป้าหมาย แต่กลับยังถือไม้เอาไว้อยู่ ทำให้เราเดินไปได้ลำบาก เหมือนเราติดอะไรบางอย่าง ไม่ยอมวางมันลง ทั้งๆ ที่มันเล็กนิดเดียวเอง ไม้ไม่ได้ปักลงพื้นขวางเราไว้ซะหน่อย เรากลับเป็นคนแบกมันไว้เอง เหมือนกับใบแรกที่แม่น้ำเล็กนิดเดียว แต่เรากลับหยุด แล้วหันกลับมาถามว่า จะเอาอย่างไรต่อไปดี

ไพ่ใบที่ 3 จำคำถามไม่ได้อีกเหมือนกัน
ความหมายของไพ่ เหมือนเรากำลังลังเลอยู่ว่าจะเลือกเหรียญไหนดี ทั้งๆ ที่ 2 เหรียญนี้ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันเลย แต่กลับตัดสินใจไม่ได้ ถ้าเปรียบกับชีวิตเรา เหรียญ 2 อันนี้เหมือนกับงานประจำกับธุรกิจส่วนตัว เราไม่รู้ว่าจะเลือกทางไหนดี ทั้งๆ ที่ทั้ง 2 ทางก็สามารถสร้างรายได้ให้กับเราเพื่อบรรลุเป้าหมาย "อพาร์ตเมนท์ 100 ห้อง เพื่อความสุขของครอบครัว" ได้

จากนั้นจึงถามคำถามต่อไปว่า "หากเราต้องการไปให้ถึงเป้าหมาย เราควรทำอย่างไรดี?" ก็ได้ไพ่ใบที่ 4 ออกมา
ภาพบอกว่า เราจะต้องลงมือทำอย่างจริงจัง ทุ่มเททำทีละเหรียญ แต่เหรียญแต่ละอันก็ไม่เหมือนกัน เราสามารถทำได้หลายเหรียญ แต่บรรยากาศยังดูชิวๆ

จากไพ่ 4 ใบสรุปได้ว่า เรายังพยายามไม่มากพอ รักสบายเกินไป เราต้องจริงจังกับชีวิตมากกว่านี้ คนทำธุรกิจส่วนตัวจะมานั่งชิวแบบนี้ได้อย่างไร ดังนั้นไพ่ใบที่ 4 จึงบอกว่า หากเราต้องการประสบความสำเร็จตามเป้าหมายของเราจริงๆ จะต้องลงมือทำ ทุ่มเทอย่างเต็มที่ ตั้งแต่วันนี้ เดี๋ยวนี้



ไพ่ใบที่ 5 คำถาม "ตัวตนที่แท้จริงของเราเป็นอย่างไร?"
ดูสง่า มองไปที่เป้าหมาย จากนั้น VitTarot ได้เปรียบเทียบภาพแรกกับภาพที่ 5 ให้เราดู
ว่าทั้ง 2 ภาพนี้ ดูสง่าทั้งคู่ แต่ภาพแรกเรากลับไม่มองเป้าหมาย ไม่มองสิ่งที่เราต้องการจะทำ ส่วนภาพที่ 5 นี้เรามองไปที่เป้าหมาย เมื่อนำภาพ 5 มาเปรียบเทียบกับภาพ 4 ด้วย
ทำให้เราเห็นว่า เราจะต้อง "โฟกัส" ไปยังสิ่งที่เราต้องการ คือ ธุรกิจ ความฝัน ครอบครัว และลงมือสร้างมันด้วยมือของเราเองตั้งแต่วันนี้ เมื่อย้อนกลับไปดูภาพแรก คือ แมวหันมามองเรา เหมือนว่าจะเอาอย่างไรดี แสดงให้เห็นว่า เราเป็นคนขาดความมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองมี ไปโฟกัสในสิ่งที่ตัวเองไม่มี แต่หากเราลืมมันไป เหมือนเราได้ทิ้งไม้ที่ขวางหน้าเราอยู่ในไพ่ใบที่ 2 หันมาโฟกัสเป้าหมายของตัวเอง มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองมี จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้ดั่งไพ่ใบที่ 5

คำถามถัดมาคือ "เราจะสำเร็จตามเป้าหมายเพื่อมีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น เราควรทำอย่างไรใน Step แรก?" ไพ่ใบที่ 6 จึงถูกเปิดออก
ไพ่ใบนี้บอกว่า "ให้เราเอาเงินให้กับพ่อแม่และครอบครัวเยอะๆ" เรายอมได้หรือเปล่าที่จะลด Life Style ลงมา ยอมลงมาจากม้าในภาพแรก และลงมาทำตามเป้าหมายอย่างเต็มที่ จริงๆ จังๆ ไปเลย เพื่อให้เรารู้ว่าเรากำลังทำตามเป้าหมายไปเพื่ออะไร จะได้มีแรงทะเยอทะยาน
เมื่อเราใช้จ่ายและให้เงินกับพ่อแม่ครอบครัวเราเยอะ จะได้มีเหตุผลว่าเราทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร
จริงๆ แล้วการเริ่มต้นธุรกิจ เงินไม่สำคัญเลย เป้าหมายกับความต้องการสำคัญมากกว่า เปรียบได้กับ ถ้าเราต้องการสร้างธุรกิจจากการเทรด เรื่องเงินทุนก้อนใหญ่ไม่ใช่ปัญหาเลย เราสามารถสร้างมันขึ้นมาจากเงินก้อนเล็กๆ ก่อนได้ โดยเงินส่วนใหญ่ให้เรามาให้พ่อแม่กับครอบครัวซะ

ไพ่ใบสุดท้าย ใบที่ 7 ที่ถูกเปิดออกพร้อมคำถาม "พี่จะเริ่มต้นชีวิตของพี่ ควรทำอย่างไร?"
แมวพระราชาจ้องไปที่แก้วของเค้า หมายความว่า ให้เราจ้องไปที่เป้าหมายของเราอย่างเดียว และเราจะประสบความสำเร็จเป็นดั่งพระราชาในภาพแน่นอน
เป้าหมายของเราคือ "การสร้างธุรกิจที่เราสามารถดูแลครอบครัวได้ด้วยตัวเราเอง" ไม่ว่าธุรกิจนั้นจะเป็นอะไร ขอให้เราทำ เพราะมันช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายได้ไม่มากก็น้อย ทุกอย่างขายได้หมด ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องทำแค่ 2 อย่างคือ งานประจำกับการเทรด เราสามารถทำอย่างอื่นเพิ่มเข้าไปได้ในเวลาเดียวกัน ดั่งไพ่ใบที่ 4 ที่รูปเหรียญแต่ละรูปไม่เหมือนกันเลย แต่เราจะต้องโฟกัสทำทีละเหรียญให้เสร็จ ในแง่ความเป็นจริง การที่เราทำอะไรหลายอย่างพร้อมกัน เราจะต้องมีทีมงานช่วยเหลือ เช่น นักธุรกิจหนุ่มที่รู้จักมีเงินซื้อบ้าน ซื้อรถตามความฝันได้ เค้าทำธุรกิจ On-Line เมื่อลูกค้าสั่งของ จึงโทรไปบอกทีมงานให้ส่งของ โดยตัวเค้าเองดูแลธุรกิจอยู่ที่บ้าน นี่คือ ยุคที่การเป็นลูกจ้างยากกว่าการเป็นนายจ้าง เพราะลูกจ้างแค่ตื่นเช้าออกไปเจอรถติดก็ลำบากแล้ว

คำแนะนำ คือ ให้เราทำทุกทางไปเลย ไม่ว่าจะเป็นงานประจำและการเทรดหรือธุรกิจอื่น เราสามารถทำได้หลายทางพร้อมกัน แต่ให้ทำเต็มที่ ทำอย่างสุดความสามารถ เขียน "เป้าหมายแปะไว้บน Desktop PC" เลย เพื่อเวลาที่เราเกิดความสับสนเหมือนภาพแรก เราจะได้ดูเป้าหมายของเราและตอบตัวเองได้อย่างชัดเจนว่า เราต้องทำอะไร ไม่ใช่เสียเวลาลังเลไปกับมันอยู่ ให้เราสร้างธุรกิจขึ้นมาโดยเอาตัวเองเป็น Brand เหมือน คุณตัน อิชิตัน

แนะนำให้ไปอ่านหนังสือ 2 เล่มที่จะเปลี่ยนชีวิตเราเป็นเจ้าของธุรกิจได้ภายใน 6 เดือน
1. 4-Hr Work Week หนังสือแปลไทยที่โดนละเลย ตอนนี้หมดแล้ว ต้องไปหาหนังสือต้นฉบับภาษาอังกฤษเท่านั้น เป็นสุดยอดหนังสือของคนที่ต้องการสร้างระบบ Passive Income ขึ้น 1 ในตัวอย่างคือ ผู้สร้าง Website Sixpack ขึ้นมารับรายได้ Passive 1 ล้านต่อเดือน
2. ผู้ส่งสาส์นอันมั่งคั่ง แปลไทยเช่นกัน ผู้เขียนเป็นคนที่โชคร้าย เกิดอุบัติเหตุและตกงาน แต่กลับสามารถสร้างธุรกิจ "รับปรึกษาปัญหาธุรกิจครั้งละ 5,000$" จากนั้นเค้าสามารถปิดการขายทาง E-mail รายได้ 20 ล้านเหรียญภายใน 20 นาที ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อจริงๆ ผู้เขียนเป็น Coach ที่สอนคนให้ไปเป็น Coach อีกทีหนึ่ง

คำแนะนำสุดท้าย คือ ให้ลงมือทำธุรกิจส่วนตัวของตัวเองอย่างเต็มที่จริงๆ (พร้อมกับทำงานประจำไปด้วย) ภายในระยะเวลา 6 เดือนเห็นผลชัวร์ ถ้าไม่เห็นผลก็แย่ล่ะ

เรามาเริ่มต้นทำตามคำแนะนำดีกว่า ด้วย 3 ขั้นตอนง่ายๆ
1. Focus เป้าหมาย
2. อ่านหนังสือที่แนะนำ
3. ลงมือทำอย่างจริงจัง

เราจะต้องประสบความสำเร็จ "อพาร์ตเมนท์ 100 ห้องเพื่อครอบครัวของเรา"!!!!

ปล. ขอบคุณคุณวิชญ์ VitTarot ที่ให้คำแนะนำดีๆ มาครับ หากใครสนใจเข้าไปดูได้ที่ Fan Page และ Website ตาม Link ด้านล่างครับ
https://www.facebook.com/vittarot?ref=br_tf
http://www.vittarot.com/

วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Review - 25 Oct 14

เมื่อเราเจอสถานการณ์ที่ยากลำบาก ก่อนหน้านี้จะเครียดมาก แต่หลังๆ มาใช้วิธี "คิดถึงเหตุการณ์ที่แย่ที่สุดไว้ก่อน" 

พอเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง กลับรู้สึกว่า "มันก็ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิด" หรือไม่ก็ "โห เหตุการณ์จริงมันดีกว่าที่เราคิดไว้เยอะเลยแหะ" รู้สึกว่าตัวเองมีแค่เสมอตัวหรือดีกว่า ทำให้ใจเรามีแต่ความสุข

ปีนี้ใช้วิธีนี้มาหลายครั้ง และรู้สึกว่าเวิร์คมาก แต่เรายังไม่เคยนำมาใช้กับการเทรดเลย ต่อไปเราต้องนำวิธีการนี้มาใช้บ้าง

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2557

แชร์...ประสบการณ์ การสร้างธุรกิจด้านการสอนออนไลน์ ภายใน 8 เดือน พลิ๊กชีวิตมนุษย์เงินเดือน สร้างรายได้รวม 145,000 บาท

ผมจึงเริ่มธุรกิจที่ 8 ด้วยวิธีคิดว่า "คนจะยอมซื้อของหรือใช้บริการก็ต่อเมื่อ มันดีกับเขาจริงๆ หรือส่งผลให้ชีวิตเขาดีขึ้น"
นั้นคือเหตผลที่ ผมตัดสินใจทำธุรกิจ บนพื้นฐานของการ แบ่งปันความรู้และช่วยเหลือผู้อื่นก่อนเป็นสำคัญครับ  และผมคิดถูกด้วย
เพราะไม่ว่าจะเจออุปสรรคแค่ไหน ผมจะไปต่อได้และแก้ไขได้หมด เพราะเราทำด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น ต้นทุนต่ำสุด ไร้ความกลัวและไร้ความคิดเรื่องกำไรครับ  ส่งผลให้ภายใน 8 เดือน ผมสร้างยอดได้รวม 145,000 ครับ

*** ถึงตรงนี้อยากฝากบอกทุกคนว่า ไม่ว่าเราจะประกอบอาชีพอะไร หรือมีความสามารถด้านไหน ขอให้ทำจนสุดทางและมีความชำนาญด้านนั้นๆ เทียบเท่าหรือมากกว่าคนอื่นๆในระดับสากล และนำความรู้เหล่านั้นมาสอนคนไทยด้วยกันเอง ในราคาที่สมเหตสมผล เพื่อที่ช่วยพัฒนาคนไทย ให้เก่งและสู้กับคนต่างชาติได้ในอนาคตครับ 

Credit : http://pantip.com/topic/32729525

วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Review - 16 Oct 14

1. ให้เราคิดว่าเราเป็น Business Owner ที่ทำธุรกิจหลายอย่างพร้อมกัน คือ การทำงานประจำ และการเทรด
2. สำหรับ Business นั้น Relationship เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เก่ง Technical อย่างเดียวไม่ได้
3. เวลาเราตัดสินใจเริ่มทำอะไร ให้ตัดสินใจทำตอนนี้ ทันที!!
4. ถ้าเราต้องการอะไร ให้คิดว่า เรากำลังทำ Project 100 ล้าน แล้วกลับมาดูตัวเราเองว่า เราได้ทุ่มเทให้กับมันสมกับที่เราจะได้ Project 100 ล้านหรือยัง?

วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Review - 15 Oct 14

จะเทรดอย่างไรดี ไม่เข้าใจตัวเองเลย เทรดแบบนั้นก็โดน แบบนี้ก็โดน เราควรจะปรับตรงไหนดี งงตัวเองจริงๆ -*-

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2557

'หุ้นดี' ...ดูอย่างไร !!??

'หุ้นดี' ...ดูอย่างไร !!??

ถ้าท่านศึกษาบทวิเคราะห์ หรือคำแนะนำของโบรกเกอร์ตาม นสพ. ต่างๆจะพบอยู่บ่อยๆ ว่า มักจะมีคำแนะนำของนักวิเคราะห์ให้ซื้อ 'หุ้นพื้นฐานดี' เก็บไว้ลงทุนระยะยาว บางแห่งก็จะบอกชื่อหุ้นให้ซื้อลงทุนเรียบร้อย โดยที่ท่านไม่ต้องไปปวดหัวกับการค้นหา 'หุ้นพื้นฐานดี' อย่างที่กล่าวไว้

ขณะที่นักลงทุนจำนวนมากซื้อหุ้นตามที่มีคนบอก จากนั้นจึงค่อยไปศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจนั้นเพิ่มเติมตามหลัง หรือลงทุนโดยซื้อหุ้นตามที่มีคนแนะนำให้เราซื้อหุ้นตัวนั้นตัวนี้ โดยที่เราไม่ได้เข้าใจ และศึกษาธุรกิจนั้นอย่างถ่องแท้ด้วยตัวเอง

วิธีการดังที่กล่าวมา จึงไม่ใช่วิธีที่ 'นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า' หรือ Value Investor ควรปฏิบัติ

สำหรับ 'นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า' ควรจะทำศึกษาหุ้นตัวนั้นและการบ้านอย่างหนักก่อน ที่จะลงทุนซื้อหุ้นบริษัทไหนสักบริษัทหนึ่ง

การหา 'หุ้นพื้นฐานดี' นั้น ไม่ยากเกินความสามารถและเราสามารถค้นหาได้ด้วยตัวเราเอง ยิ่งถ้าเราเข้าใจในธุรกิจที่เราลงทุนแล้ว เราก็ไม่ต้องไปกังวลกับสภาพของตลาดหุ้น ที่ราคาหุ้นอ่อนไหวไปตาม 'ความโลภ' และ 'ความกลัว' ของอารมณ์นักลงทุนทั้งหลายในตลาด

หุ้นพื้นฐานดีสามารถบอกได้โดยดูจากงบการเงินของบริษัทนั้น ก็คือ งบดุล งบการเงิน และงบกระแสเงินสด โดยดูย้อนหลังไปหลายๆ ปี เพื่อป้องกันการตกแต่งบัญชี และดูความสามารถของบริษัทว่าแข็งแกร่งจริงหรือไม่

วิธีดูหุ้นพื้นฐานดีที่จะกล่าวในที่นี้ จะพูดถึงเฉพาะหุ้นที่มีประวัติการดำเนินงานที่ดี โดยไม่ได้ครอบคลุมถึงหุ้นที่เพิ่งผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ (Turnaround) ที่ผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในเวลาไม่นาน

ลักษณะที่ดี 9 ประการของ 'หุ้นพื้นฐานดี' ควรจะมีดังต่อไปนี้

1.มียอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

หุ้นที่ดีควรจะมียอดขายที่เติบโตขึ้น ถ้าเติบโตเพิ่มขึ้นได้ทุกปีก็จะดีมาก แสดงให้เห็นว่า ธุรกิจนั้นมีการขยายตัว และสามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมนั้นได้ ส่วนหุ้นที่มียอดขายสาละวันเตี้ยลงทุกปีทุกปี น่าจะเป็นหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง หมายถึงว่า กิจการนั้นกำลังถูกคู่แข่งแย่งตลาดสินค้าไป หรือไม่ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมนั้นก็อาจจะอยู่ในข่ายอุตสาหกรรมตะวันตกดิน (sunset industry) หรือผู้บริหารมีปัญหาในการดำเนินกิจการ แต่ยอดขายเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอที่จะบอกได้ว่าหุ้นนั้นเป็นหุ้นพื้นฐานดีหรือไม่ ต้องใช้ปัจจัยอีกหลายอย่างในการวิเคราะห์ธุรกิจ ดังจะกล่าวต่อไป

2. มีการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานที่ดี

บริษัทที่มีการควบคุมการดำเนินงานที่ดี เราสามารถตรวจสอบดูได้จากงบกำไรขาดทุน โดยสังเกตจากต้นทุนสินค้าและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ควรจะไปตามยอดขายของกิจการ ถ้ายอดขายสูงขึ้นค่าใช้จ่ายก็สามารถอนุโลมให้เพิ่มขึ้นได้ตามสัดส่วนยอดขายที่สูงขึ้น แต่ธุรกิจที่ยอดขายลดลงแต่ต้นทุน และค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น นักลงทุนควรจะระวังและถ้าเกิดขึ้นเป็นประจำควรตรวจสอบให้ดีก่อนลงทุนในบริษัทนั้น

3. ไม่ประสบปัญหาขาดทุน 

บริษัทที่ดีควรจะมีความสามารถในการทำกำไรอย่างสม่ำเสมอ บริษัทที่ประสบภาวะขาดทุน เป็นการแสดงให้เห็นถึงการขาดประสิทธิภาพของผู้บริหาร ถ้าขาดทุนตลอดปีหรือไม่ ก็ขาดทุนปีเว้นปี นักลงทุนควรเอาเวลาไปศึกษาธุรกิจอื่นจะดีกว่า ยกเว้นท่านที่ชอบลงทุนใน ?หุ้นฟื้นคืนชีพ? (Turnaround) ที่ขาดทุนมาหลายปีอยู่ดีๆ ก็กลับมาทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ อันนี้ก็แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน แต่สำหรับท่านที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการลงทุนมากนัก ควรหลีกเลี่ยงหุ้นที่มีผลดำเนินงานขาดทุนจะปลอดภัยกว่า

4. เงินทุนหมุนเวียนเป็นบวก (Positive Working Capital)

ธุรกิจที่ดีควรมีทรัพย์สินหมุนเวียนมากกว่าหนี้สินหมุนเวียน เพราะธุรกิจควรมีการเตรียมความพร้อมของเงินทุนระยะสั้นให้เพียงพอต่อการจ่ายคืนหนี้สินระยะสั้น มิฉะนั้นธุรกิจอาจจะมีปัญหาการเงินเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะบริษัทที่ทำการกู้ยืมระยะสั้นมาก อาจจะต้องสำรองเงินสดไว้พอสมควรทีเดียวสำหรับการจ่ายคืนหนี้ที่เรียกเก็บภายใน เวลาไม่นาน ยกเว้นธุรกิจบางประเภท เช่น ธุรกิจค้าปลีก หรือค้าส่ง ที่รับเงินจากการขายให้กับลูกค้าเป็นเงินสดแต่ได้เครดิตจากผู้ผลิตสินค้าเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่จะจ่ายเงิน ในกรณีนี้เงินทุนหมุนเวียนอาจจะติดลบได้ ซึ่งกลับกลายเป็นจุดแข็งสำหรับธุรกิจประเภทนี้เสียอีก เพราะแทนที่จะต้องมีเงินสำหรับของที่อยู่ในสต็อกกลับเป็นผู้ผลิตสินค้าที่จะต้องเป็นคนจ่ายเงินค่าสินค้าคงคลังแทน

5. มีหนี้ไม่มากหรือมีหนี้อยู่ในฐานะที่เหมาะสม

ตัวเลขคร่าวๆ ที่ใช้กันส่วนใหญ่ในการตรวจสอบสภาพหนี้สินของธุรกิจก็คือ ?อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน? (Debt/Equity Ratio) ธุรกิจที่มีหนี้สินต่อทุนสูง แสดงว่า มีการกู้ยืมหนี้ระยะยาวมาก และทำให้ธุรกิจนั้นมีความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจสูง อัตราหนี้สินต่อทุนที่พอเหมาะที่ใช้กันทั่วไปคือ น้อยกว่าหนึ่งเท่า หรือไม่เกินสองเท่า

6. มีกำไรสะสม (Retain Earning) เพิ่มขึ้นทุกปี

ธุรกิจที่ดีควรมีกำไรสะสมเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ และสามารถนำกำไรสะสมนั้นไปลงทุนต่อให้งอกเงยเพิ่มมากขึ้นจากเดิม ธุรกิจที่มีกำไรสะสมลดลง นักลงทุนควรตั้งคำถามก่อนที่จะลงทุนในบริษัทนั้นว่า บริษัทนำกำไรสะสมนั้นไปใช้ ทำอะไรและมีประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นหรือไม่

7. มีส่วนของผู้ถือหุ้น (Shareholder Equity) เพิ่มขึ้นสม่ำเสมอ

บริษัทที่สามารถเพิ่มส่วนของผู้ถือหุ้นได้อย่างสม่ำเสมอนับว่า เป็นธุรกิจที่น่าสนใจ แสดงให้เห็นถึงความสามารถของผู้บริหารในการนำเงินของบริษัทไปลงทุนในกิจการที่มีประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น ควรหลีกเลี่ยงบริษัทที่มีส่วนผู้ถือหุ้นลดลงหรือติดลบ แสดงว่า ธุรกิจนั้นที่ผ่านมามีการขาดทุนเกิดขึ้น

8. กำไรต่อยอดขาย (Profit Margin) มากพอสมควร

ธุรกิจที่มีกำไรต่อยอดขายสูง แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการควบคุมต้นทุนของกิจการในระดับที่ดี แต่กำไรต่อยอดขายสูง อาจจะดึงดูดให้คู่แข่งหน้าใหม่ๆเข้ามาในอุตสาหกรรมนั้นมากขึ้น ในขณะที่ธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมมีการแข่งขันสูงส่วนมากจะมีกำไรต่อยอดขายต่ำ เพราะมีการตัดราคาสินค้าเพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาซื้อสินค้าและบริการของตน ทำให้กำไรของทั้งอุตสาหกรรมลดลง ดังนั้น ธุรกิจที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงก็คือ ธุรกิจที่มีต้นทุนในการดำเนินงานต่ำ (Cost Leadership)

9. ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (Return on Equity) สูง

ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น คำนวณจาก กำไรหารด้วยส่วนผู้ถือหุ้น (Net Profit/ Equity) ธุรกิจที่มีผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นสูงแสดงว่า ผู้บริหารสามารถบริหารเงินทุนของบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่บางธุรกิจที่มีเงินกู้ยืมสูงก็อาจจะทำให้ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นสูงขึ้นได้ เพราะเงินลงทุนส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของหนี้สินระยะยาวมากกว่าส่วนผู้ถือหุ้น ดังนั้น ในบางกรณีอาจจะจำเป็นต้องใช้อัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินลงทุน (Return on Total Capital) ในการตรวจสอบความสามารถในการดำเนินงานของธุรกิจนั้น จะเหมาะสมมากขึ้น เนื่องจากได้รวมส่วนหนี้สินระยะยาวในการคำนวณไว้ด้วย

ผลตอบแทนต่อเงินลงทุน หาได้จากกำไรหารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้นและหนี้สินระยะยาว (Net Profit/(Longterm Liability+Equity)) บริษัทที่มีผลตอบแทนต่อเงินลงทุนสูง จะน่าสนใจกว่าบริษัทที่มีอัตราส่วนนี้ต่ำ

การค้นหาลักษณะที่ดี 9 ประการข้างต้นของหุ้นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ จะช่วยให้ท่านมีความรู้ความเข้าใจในหุ้นที่ท่านลงทุนมากขึ้น แทนที่จะรอให้คนอื่นหรือนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ตามโบรกเกอร์ต่างๆ มาแนะนำ หุ้นพื้นฐานดี? ให้กับท่าน

Cr. stock2morrow

กว่าจะเป็นเทรดเดอร์ - 5 Steps to Become a Trader

กว่าจะเป็นเทรดเดอร์ - 5 Steps to Become a Trader

5 Steps to Become a Trader เป็นบทความสั้นๆ บอกเล่าพัฒนาการทางจิตวิทยาที่ผู้เล่น Forex ส่วนใหญ่มักจะต้องประสบ ซึ่งตอนเข้าสู่ตลาด Forex ใหม่ๆ ผมก็เคยอ่านแล้วแต่ไม่ได้ติดใจอะไร จนกระทั่งอยู่ในตลาดมาเป็นปีแล้วนั้นแหละ พอได้อ่านอีกรอบถึงรู้สึกว่า มันตรงจริงๆ

ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าของบทความเป็นใคร แต่ผู้ที่นำมาเผยแพร่จนเป็นที่รู้จักกัน คือ Dial แห่ง Forex Factory

http://www.forexfactory.com/showthread.php?t=3156

บทความนี้คุณ panupatforex ได้แปลไว้ที่ http://panupatforex.blogspot.com/2014_01_01_archive.html
ส่วนใครสนใจอ่านบทแปลตามต้นฉบับแบบไม่มีดัดแปลง ลองอ่านได้ -ที่นี่http://www.forexfactory.com/showthread.php?t=3156

ระยะที่ 1 - ง่ายจัง รวยเร็ว ลงทุนเลยดีกว่า!!

ต้นฉบับใช้คำว่า Unconscious Incompetence แปลง่ายๆ คือ ไม่รู้ตัวว่าเทรดไม่เป็น 

ความประทับใจแรกพบ (ผิดๆ) ของทุกคนที่เริ่มรู้จักกับ Forex ก็คือ... มัน ง่าย!

ก็จริงไหมล่ะ กราฟมันวิ่งได้แค่ 2 ทางเท่านั้นเอง คือขึ้นกับลง จะไปยากอะไร? ความประทับใจดังกล่าวมีแต่จะยิ่งถูกตอกย้ำจากเรื่องเล่าต่างๆ เช่น เศรษฐีเงินล้านรวยจาก Forex มั่งล่ะ เพิ่มเงินลงทุนเป็นเท่าตัวมั่งล่ะ ... ซ้ำร้ายกว่านั้น พอคุณลองเล่น Demo ก็ฟลุคๆ ได้กำไรเสียอีก

คุณเริ่มคิดว่า นี่แหละคือเส้นทางสู่อิสระภาพทางการเงินของเรา เทรดเดอร์มือใหม่จึงมักกระโจนเข้าสู่ตลาดจริงทันทีเพราะอยากรีบทำเงิน ไม่อยากเสียโอกาสทำกำไร

แต่อนิจจา มันก็เหมือนคนเดินดินธรรมดา ที่จู่ๆ ก็ลำพองใจกระโดดขึ้นเวทีชกกับบัวขาวนั่นแหละ

คุณเทรดไม่หยุด นั่งเฝ้าหน้าคอม 24 ชั่วโมง อิสระภาพที่คุณนึกฝันไม่เหลือแม้แต่เงา พอแทงขาลงกราฟก็วิ่งขึ้น เปลี่ยนมาแทงขาขึ้นกราฟก็ดันวิ่งลง พอฟลุ๊กๆ แทงถูกทางก็ยิ่งตอกย้ำลงในสมองเราว่า มัน ง่าย จริงๆ ด้วย! ทำให้ยิ่งแทงหนัก เสี่ยงหนักเข้าไปอีก

ผมใช้คำว่า "แทง" เพราะในระยะนี้ เราเล่น Forex แบบ เล่นพนัน จริงๆ ยิ่งเสียยิ่งแทงมากขึ้นเป็นทวีคูณ หวังว่าชนะทีเดียวจะคืนทุนได้หมด พอพอร์ตเริ่มร่อยหรอก็แทงหมดตัว... ลงเอยอย่างไรเป็นที่รู้กัน


แน่นอน คุณลงจากสังเวียนอย่างสะบักสะบอม ทั้งจิตใจทั้งกระเป๋าเงินชอกช้ำไม่มีชิ้นดี ... คนส่วนใหญ่จะอยู่ในระยะนี้ประมาณ 2 สัปดาห์ ก็จะเข้าสู่ระยะต่อไป

ระยะที่ 2 - เรามันอ่อนหัดเหลือเกิน!!

พอแพ้น็อคไม่เป็นท่าจากยกแรก หลายๆ คนจึงตาสว่างว่าตลาด Forex มีอะไรมากกว่าที่คิด
... คุณรู้ตัวแล้ว ว่าคุณเทรดไม่เป็น! 

(อีกส่วนหนึ่งจะคิดว่า Forex คือการแทงหวยชัดๆ และเลิกเล่นไป)

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ก็เป็นธรรมดาที่จะเริ่มศึกษาหาความรู้ คุณอ่านทุกอย่าง เวบ หนังสือ บทความ e-book ทั้งร่วมงานสัมนา จ่ายเงินเรียน ฯลฯ

คุณเริ่มเรียนรู้ระบบเทรดและนำระบบหลายตัวมาทดลองใช้ คุณเริ่มใช้ Indicator (อินดี้) เริ่มตื่นเต้นเมื่อค้นพบระบบหรืออินดี้ใหม่ๆ บางระบบคุณถึงกับควักกระเป๋าซื้อ คุณพยายามซื้อที่จุดต่ำสุดและขายที่จุดสูงสูงโดยใช้อินดี้มากมายเข้าช่วยหา จุดกลับตัว พอราคาไม่วิ่งไปในทางที่คิดคุณเริ่มหัวฟัดหัวเหวี่ยงและยิ่งเปิดเทรดสะเปะ สะปะมากขึ้น และผมเชื่อว่าแทบทุกคนจะต้องเคยลองเทรดด้วยบ็อทอัตโนมัติ (EA) มาแล้วทั้งนั้น... แต่ก็ไม่เป็นผล

คุณเริ่มถามคำถามมากมายกับเทรดเดอร์ผู้ประสบความสำเร็จ พวกเขาแนะคุณเรื่องจิตวิทยาและการบริหารความเสี่ยง แต่คุณไม่สน คุณไม่ได้อยากฟังเรื่องไร้สาระพวกนั้น คุณอยากรู้วิธีทำกำไรต่างหาก... บางคนอาจลอง copy trade ตามมืออาชีพ หรือกระทั่งจ่ายเงินซื้อสัญญาณเข้าออกจากหลายๆ เซอร์วิส

หลายคนดวงซวยยิ่งกว่าเมื่อเจอนักต้มตุ๋นในคราบกูรู พาคุณเทรดไปด้วยกันจนหมดเนื้อหมดตัวกันเป็นแถว

หลายคนถึงกับคิด ว่า ผู้ที่กำไรจาก Forex เป็นเรื่องโกหก ไม่มีทางทำได้จริง!  ... ทว่า คุณก็ยังเห็นพอร์ตของผู้มีประสบการณ์เติบโตต่อไป ในขณะที่ของพอร์ตคุณหดเล็กลง เล็กลง

นี่เป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุด อาจกินเวลาได้ตั้งแต่ 2-3 เดือนจนถึง 2-3 ปี...
- เทรดเดอร์ 80% ล้มหายตายจากไปในระยะนี้
- 60% เลิกไปใน 3 เดือนแรก
- อีก 20% เลิกไปใน 1-2 ปี
- เหลือเพียง 20% เท่านั้นที่ยังคงดั้นด้นไม่ยอมแพ้

หลายคนเสียเงินเรียนมากมาย บางคนล้างพอร์ตหลายพอร์ต บางคนอาจเลิกไปแล้วกลับมาใหม่ถึง 3-4 รอบ ความเครียด ความสับสน ความไม่เข้าใจ มีแต่จะทับถมมากขึ้นเรื่อยๆ 

แต่แล้ววันหนึ่ง อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย... คุณก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3

ระยะที่ 3 - จู่ๆ ก็เข้าใจ...


คำแนะนำที่คุณเมิน ไม่สนใจ  อยู่ๆ คุณก็รับฟังมันขึ้นมาเฉยๆ อาจเพราะมันค่อยๆ ซึมซับลงในสมองคุณก็ได้ ... 

คุณเริ่มเข้าใจว่าระบบไม่จำเป็นต้องซับซ้อนเลย อาจจะมีอินดี้แค่ตัวเดียวก็ทำกำไรได้

คุณเริ่มเห็นความสำคัญ ของการบริหารความเสี่ยงและบริหารเงินทุน

คุณเริ่มอ่านและศึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยาการเทรด แทนที่จะมุศึกษาแต่การวิเคราะห์กราฟ 

คุณเริ่มยอมรับความจริง ว่า ไม่มีใครรู้อนาคต จริงอยู่เราอาจจะคาดเดาทิศทางได้ แต่มันไม่มีทางถูก 100% เราไม่รู้ ไม่มีทางรู้

จากที่เคยเปลี่ยนระบบสลับไปสลับมา คุณเริ่มใช้เพียงระบบเดียวที่ตรงใจคุณที่สุด และขัดเกลาปรับปรุงจนเหมาะกับนิสัยและการเทรดของคุณเอง

คุณเริ่มกำหนดกฏเกณฑ์และวางวินัยในการเปิดออเดอร์ สามารถตัดใจได้เมื่อเห็นสัญญาณซื้อขายที่ไม่ได้คุณภาพ คุณรู้ว่าระบบของคุณทำกำไรในระยะยาวได้แน่ๆ คุณเริ่มเข้าใจว่าเทรดจะติดลบบ้างไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญคือภาพรวมต่างหาก

กฏเกณฑ์และวินัยคือเกราะป้องกันตัว ในขณะที่ความสม่ำเสมอและระเบียบวินัยคืออาวุธของเรา ในตลาด Forex 


ระยะที่ 4 - ทำตามกฏที่ตั้งไว้อย่างเข้มงวด


ถึงจุดนี้ คุณรู้ตัวแล้วว่าคุณมีความรู้ความสามารถเพียงพอ รู้ว่าระบบของคุณทำกำไรได้

ความมั่นใจตรงนี้ทำให้คุณเทรดได้อย่างวางใจมากขึ้น สามารถเก็บกำไรและตัด Stoploss ได้โดยไม่เอาอารมณ์หรือความรู้สึกมาเกี่ยว

คุณยังคงขัดเกลาระบบ จิตวิทยา และความสามารถของตัวเองต่อไป และยิ่งสั่งสมประสบการณ์ แนวโน้มการทำกำไรของคุณก็ยิ่งมากขึ้น

เพียงไม่ถึงปีเท่านั้นคุณก็จะเข้าสู่ระยะต่อไป

ระยะที่ 5 - การเทรด กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน


คุณเทรดได้โดยไม่ต้องนึกถึงมันเลย

เหมือนคนว่ายน้ำเป็น กระโดดลงน้ำก็ลอยตัวได้โดยไม่ต้องคิด
เหมือนคนขับรถเป็น สตาร์ทรถแล้วก็ขับได้โดยสัญชาติญาณ

สิ่งที่เรียนรู้มาได้หล่อหลอมซึมซับจนเป็นกิจวัตรไปแล้ว การเทรดไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นอะไรอีกต่อไป ตรงกันข้าม อาจกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อเสียด้วยซ้ำ มันก็แค่การทำงานหาเงินอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง จะเทรดได้เทรดเสียก็ไม่ทำให้คุณรู้สึกยินดียินร้ายแต่อย่างใด

คุณกลายเป็นผู้มีประสบการณ์ มีผู้เลื่อมใส มีผู้นับถือ มีน้องๆ ถามคำถาม คุณให้คำแนะนำแก่รุ่นน้องอย่างจริงใจ แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าพวกเขาไม่ฟัง คุณรู้ เพราะคุณเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว

ฝีมือ สายตา และระบบของคุณยังคงเหมือนเดิม และพัฒนาขึ้น พัฒนาขึ้น เรื่อยๆ

จุดนี้แหละครับ ที่ถือว่า คุณ เป็นเทรดเดอร์มืออาชีพแล้ว

----------------------------------------------------------------------------------------

หวังว่าท่านผู้อ่านจะได้ประโยชน์จากบทความนี้นะครับ บางคนอาจเคยผ่านช่วงเวลาเหล่านี้มาแล้วกับตัว

สิ่งที่จะลืมไม่ได้ คือ ผู้ที่เข้าสู่ตลาด Forex มีไม่ถึง 5% เท่านั้นที่จะฝ่าฟันมาถึงระยะที่ 5 ได้ ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ความเก่งครับ แต่เป็นทัศนะคติและมุมมองมากกว่า

Forex ไม่ใช่ รวยเร็ว
Forex ที่ประสบความสำเร็จ ต้อง รวยช้า ครับ

ขอบคุณครับ

วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Review - 12 Oct 14

ตอนนี้เราปรับ Mind Set ใหม่ ตรงที่ เป้าหมายจริงๆ ของเราคือ "มีอพาร์ตเมนท์ปล่อยเช่า 100 ห้อง" และเป้าหมายอันใกล้นี้คือ "มีคอนโดปล่อยเช่าทั้งหมด 10 ห้อง ภายในอายุ 40 ปี" ตอนนี้เราอายุ 32 ปี ก็เหลือเวลาอีก 8 ปี สำหรับการหาเงินมาซื้อคอนโดสำหรับปล่อยเช่า

พอเราปรับความคิดมาเป็นแบบนี้ ทำให้เรารู้สึกว่าเราควรเทรดให้ช้าลงและระมัดระวังมากขึ้น เราจะต้องขาดทุนให้น้อยลง ส่วนกำไรจะได้เท่าไร เราไม่รู้ ตลาดไม่ได้บอกเราเอาไว้ เราก็ใช้วิธี Run Trend เอานี่แหละดีที่สุดแล้ว

"มองแต่เป้าหมายอย่างเดียว ไม่ต้องมองเรื่องที่จะทำให้ไม่สำเร็จ ถ้าเราคิดถึงอุปสรรคแล้วทำให้เรากลัวเมื่อไร ให้คิดถึงเป้าหมายกับครอบครัวเอาไว้ และมองสิ่งที่เป็นอยู่ปัจจุบันว่า เรื่องที่เรากลัวมันเกิดขึ้นหรือยัง ถ้ายังไม่เกิดก็เลิกกลัวและโฟกัสเป้าหมายเหมือนเดิม"

วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Review - 9 Oct 14

1. ถ้าถือ order แล้วไม่สบายใจ คิดว่ามันจะวิ่งสวนทางเรา ก็ตัดสินใจปิดก็ได้ ลองหย่อนวินัยลงมาบ้าง ดูสิจะเทรดดีขึ้นไหม

KZMG - Review - 9 Oct 14

หลังจากที่เราถือ order มาตั้งแต่ 8 Sep 14 เพิ่งจะมาได้ปิด Sell วันนี้เพราะเกิด Golden Cross ใน H1 แล้ว ตามแผนเราจะต้องเปิด Buy ของกอง C ใน Zone นี้ด้วย เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสการทำกำไร

ก่อนปิด Sell

หลังปิด Sell

วันอังคารที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Review - 7 Oct 14

สิ่งที่ได้เรียนรู้วันนี้
1. วันนี้เราตื่นเต้นตลอดเลย จนกระทั่งมาสงบลงได้เพราะเราค้นพบว่า สิ่งที่ทำให้เราตื่นเต้น เพราะเรา "คาดหวังในผลลัพธ์" อยากได้มันมาก เราจึงไปคิดถึง "อนาคต (ที่ยังไม่เกิดขึ้น) ว่าถ้าได้ เราจะเป็นอย่างนั้น เราจะทำอย่างนี้" ยิ่งทำให้เราคาดหวังและปล่อยวางไม่ได้ แต่เมื่อเรามีสติ นึกออก และวาง "ความคาดหวัง" นี้ลง เหลือแต่การ "ทำให้ดีที่สุดในปัจจุบัน" ก็ทำให้จิตใจเราสงบลงได้ ซึ่งตรงกับคุณบัณฑิต กล่าวไว้เลยว่า คนเราตั้งเป้าหมายแล้วท้อ เพราะเรา "ไม่ปล่อยวางผลลัพธ์" นั่นเอง ขอบคุณจริงๆ ตอนนี้เราเข้าใจแล้ว มีเป้าหมายเอาไว้ในใจแล้วทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
2. การเทรดที่คิดว่า "เราถูก" จะมีความเสี่ยงในการขาดทุนมาก เพราะเราไปมโนเองว่าราคาจะต้องวิ่งตามฝั่งที่เราเข้า order ซึ่งจริงๆ มันอาจจะวิ่งสวนทางก็ได้ อย่างที่พี่ต้านบอก เราควรเทรดโดยคิดว่า "เราผิด" เอาไว้ก่อน เผื่อหาแผนสองรองรับการเทรดผิดนี้เอาไว้ด้วย

NU
เราเล่นผิดอย่างรุนแรงที่ไปเปิด Sell เยอะ ทั้งๆ ที่เกิด OS ใน Trend H4 แล้ว

วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Review - 6 Oct 14

XAU

ราคาเด้งที่แนวรับ Day & CH Day OS พอดีเลย รอดูการเด้งว่าจะไปจบที่ตรงไหน ถ้าราคาเด้งมาจนถึง 1222 และสามารถยืนแนวนี้และเบรค TL H4 ได้ ก็ขึ้นยาวๆ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ลงต่อ


NU
ราคาเบรค TL Week ลงมาและยังกลับขึ้นไปไม่ได้ และตอนนี้ก็เบรค TL รับ H1 ลงมาทำ Pullback เรียบร้อย พร้อมที่จะลงต่อ แต่ H4 OS อยู่ ดังนั้นเรายังไม่แน่ใจว่าจะลงต่อไหม แต่ให้น้ำหนักว่าลง เพราะทุก TF ลงหมด



AJ
อ่านไม่ออกว่ามันจะขึ้นหรือลง รู้แค่ว่า H4 มีโอกาสเด้ง แต่เด้งไปไกลแค่ไหนไม่รุ้ ส่วน Day เหมือนจะทำ Sideway Up เพื่อเตรียมลงเป็น Trend มากกว่าที่จะวิ่งขึ้นไปทำ New High อ่านไม่ออก จึงไม่ตัดสินใจเข้าเพิ่ม



UCHF
Break TL Week จนได้ ต้องดูว่ายืนอยู่ไหม โดยให้เวลาสัปดาห์นี้คือ Day 5 วัน ถ้ายืนอยู่เราจะเปิด Buy เข้าไป ราคาจะต้องวิ่งขึ้นไปหา Trend Month แต่ถ้ากลับลงมาก็ลงยาวๆ







UJ
เราเข้าด้วย Month ก็ต้องเล่นกันยาวๆ ตอนนี้ก่ำกึ่งว่าราคาเบรค TL Month หรือไม่ ต้องรอดู 1-2 อาทิตย์นี้ว่าราคายืนได้หรือป่าว




วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Never Give Up

ยังมีคนที่แย่กว่าเราอีกเยอะ และเค้าก็ผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ มาได้ จนประสบความสำเร็จ

เราดีกว่าเค้า ไม่เจอเรื่องร้ายๆ แบบเค้า แล้วทำไมเราจะประสบความสำเร็จแบบเค้าบ้างไม่ได้

สิ่งสำคัญคือ "ใจ" ของเรา ถ้าใจใหญ่กว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ บวกกับเรา "ลงมือทำ" ยังไงก็ต้องสำเร็จ

ทุกอย่างยากอยู่แล้ว แต่คนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่ลงมือทำจนมันง่าย

ดังนั้นเป้าหมายเราไม่เปลี่ยน เราสลักมันไว้บนหินผาแล้ว แต่วิธีการที่จะไปถึง เราจะต้องค้นหามันให้เจอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Sales หรือ Trading ก็ตาม

เราต้องหาทาง "ขาย" ให้ "ถึงเป้า" ให้ได้

เราต้องหา "Trade Setup" ที่ทำให้เรา "ได้กำไร" อย่างต่อเนื่อง

เราต้องหา "อพาร์ตเมนท์" สำหรับ "ปล่อยเช่า" ให้ได้กำไรเป็น Passive Income

Never Give Up!

Nothing is Impossible!

I hated every minutes of training,but I said,' Don't quit. Suffer now and live the rest of your life as a champion' - Muhammad Ali

ทบทวนวิธีการเทรด - WK40

คัดสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเทรดของเรา
1. Trend D1 & H4 & H1
2. หาตัวที่ Trend D1 & H4 ไปในทางเดียวกัน
3. ดูการย่อตัวของ H1 ลงมาและเบรค TL ของ H1
4. ราคาเพิ่งเบรค Trend D1 ขึ้นมาและย่อทำ Throw Back ถือเป็นต้น Trend
5. หา Channel D1 & H4 สำหรับการหาเป้า
6. EMA
7. แนวรับแนวต้าน
8. OB & OS
9. การเบรค High ก่อนหน้าแล้วยืนได้ 1-2 แท่ง
10. High ที่สำคัญคือ Stoch OB
11. หา Trend หลักให้เจอ และ Correction มีแค่ ABC เท่านั้น
12. การตั้ง SL ที่ HL ล่าสุด โดยการหา Trend ด้วย Fibo 161.8% Retrace
13. Trend Line ที่ถูกต้องจะวิ่งแนวเดียวกับ EMA
14. เมื่อราคาวิ่งเป็น Trend เราต้องปรับ TL ให้ตรงกับปัจจุบันที่สุด และถ้าราคาเบรค TL นั้นก็ถือว่าจบ Trend นั้นแล้ว
15. ราคาอยู่เหนือ EMA200 + Golden Cross เล่น Buy ถ้าราคาอยู่ใต้ EMA200 + Dead Cross เล่น Sell
16. Run ด้วย EMA200 และ Channel
17. เมื่อราคาเกิด OS ให้เราตั้ง SL มาที่ CH ล่างสำหรับ Trend ขาลง
18. หา MACD Bullish Divergence เป็นจุดเข้าที่ดีหลังจาก Break Trend ลงมา
19. วินัยในการเทรด
20. การทำตามระบบอย่างเคร่งครัด
21. Monowave ของ Day คือ Trend ของ H4
22. เราเทรดขาหนึ่งของ TF ใหญ่ ซึ่งมันก็คือ Trend ของ TF ที่เล็กกว่า 1 ขั้น ดังนั้นเราต้องมอง Trend ของ TF ใหญ่ให้ออก เพื่อหาจังหวะเข้าใน TF เล็กกว่า
23. ลองวิเคราะ์ Volume กับการเบรค TL ด้วยว่าใช้ได้ไหม

Trade Setup การเข้าที่จุดเริ่มต้นของ Trend
1. MACD Bullish Divergence
2. Break TL ต้าน
3. ราคายืนเหนือ EMA200
4. Golden Cross
5. Run Trend ด้วย Channel & EMA200 หลุด Channel ต้องปิดหมด
6. Trailing Stop ด้วย HL ล่าสุดเมื่อเกิด Trend
7. ขยับ Channel ให้เป็นปัจจุบันที่สุด ซึ่งจะแนวเดียวกับเส้น EMA
8. ถ้าราคาเกิด OB ทะลุ Channel บนขึ้นไป ให้ย้าย SL ไปอยู่ที่ Channel บน เมื่อราคาเบรค CH บนลงมาก็ให้ปิด Buy

เห็น Trade Setup นี้ใน TF ไหน ก็เล่น Trend ของ TF นั้น โดยต้องยึด Trend TF ใหญ่กว่าเป็นหลักด้วย
Trend ทุก Trend จะต้องมีอย่างน้อย 3 ขา คือ ABC ดังนั้นเมื่อราคาวิ่งขึ้นมาเป็น Trend ครั้งแรกเป็น A และหลุด TL A เกิด Sideway B ให้หาจังหวะเข้าตรงที่ราคาเบรค TL B ขึ้นมาวิ่งทำ C เป็นจุดเข้าที่ 2 ที่ปลอดภัย (แต่การหาจุดเข้าเบรค TL B นั้นอาจจะต้องลงไปดู TF ที่เล็กกว่า 1 TF) จังหวะเกิด B ส่วนใหญ่จะไม่หลุด EMA200 ลงมา
เมื่อเห็น ABC เราจะตี Channel ที่ถูกต้องได้ ถ้าราคาเบรค Channel นี้ลงมาก็จบ Uptrend



สิ่งที่เรายังหาคำตอบไม่ได้
1. การให้น้ำหนักของจุดเข้าในแต่ละจุด
2.

Review - 4 Oct 14

สิ่งที่ได้เรียนรู้วันนี้
1. ต้องมาวิเคราะห์วิธีเทรดแบบ UTHB เราวิเคราะห์ง่ายๆ ทิ้งไว้นานๆ และมันก็ได้กำไรจริงๆ (ถ้าเราตัดสินใจเทรด) เรามาเล่นภาพใหญ่ดีกว่า และเทรดแค่ 3 ไม้ คือไม้รับก่อนเบรค, ไม้เบรค, ไม้เบรคแล้วทำ Throw Back

2. หาวิธีที่เทรดที่เราสามารถเทรดได้โดยทำงานประจำไม่มีปัญหา ซึ่งคำตอบแรกคือ เทรดภาพใหญ่ แต่คำตอบอื่นเราต้องมาเพิ่มเพื่อให้เกิดความชัดเจนและมั่นใจในการเทรดมากขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Review - 2 Oct 14

สิ่งที่ได้เรียนรู้วันนี้
1. รูปแบบการเทรดของเรา คือ หา Channel ให้เจอและตั้งรับที่ Channel จากนั้นตั้ง SL ที่ HL/LH ล่าสุดตามหลักของ Dow แม้ราคาจะเบรค TL ขึ้นมา แต่ถ้าถูก Trend ราคาก็จะไม่ทำ High ใหม่และลงไปต่อเหมือน AJ

2. คุยทุกครั้งให้มีสติอยู่กับตัว อย่าปล่อยใจลอยจนฟังไม่รู้เรื่องอีก
3. คนเราจะประสบความสำเร็จ มันต้องทำอะไรผิดพลาดอยู่แล้ว ไม่มีใครทำถูก 100% หรอก ดังนั้น อย่าไปกลัวความผิดพลาด เรียนรู้จากมันและแก้ไขมันเพื่อไม่ให้ผิดซ้ำอีกต่างหาก คือหนทางสู่ความสำเร็จ จงลงมือทำไปเลย ผิดพลาดช่างมัน แค่คิดให้ดีก่อนทำ ทำให้เต็มที่ ส่วนเรื่องความสำเร็จเป็นเรื่องที่พระเจ้าเป็นคนกำหนด